อารยธรรมโบราณ

  • 4500 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยซูเมเรียน

    การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยซูเมเรียน
    สมัยซูเมเรียน ลักษณะการปกครอง: แต่ละเมืองรัฐมีการปกครองโดยกษัตริย์หรือผู้ปกครองท้องถิ่น ซึ่งมักจะรวมถึงพระเจ้าและนักบวชที่มีอำนาจทางศาสนา
  • Period: 4500 BCE to 1900 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยซูเมเรียน

    การปกครองและศาสนาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น พระสงฆ์และกษัตริย์มักมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจและบริหารงาน
  • 3500 BCE

    ความเชื่อของเมโสโปเตเมีย

    ความเชื่อของเมโสโปเตเมีย
    ความเชื่อของเมโสโปเตเมียมีลักษณะเฉพาะและมีระบบความเชื่อที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่สมัยสุเมเรียน ชาวเมโสโปเตเมียเชื่อว่าโลกถูกควบคุมโดยเทพเจ้าหลายองค์ โดยแต่ละเทพมีอำนาจในด้านต่างๆ เช่น เทพเออาชู เป็นเทพแห่งน้ำและความรู้ เทพมาร์ดูคเป็นเทพแห่งการสร้างและปกครอง และเทพอิชทาร์ (Ishtar) เป็นเทพแห่งความรักและสงคราม
    ตำนานการสร้าง: หนึ่งในตำนานที่สำคัญคือ "เอนุม่า เอลิช" ซึ่งเล่าถึงการสร้างโลกและมนุษย์จากการต่อสู้ระหว่างเทพ มาร์ดูคได้สร้างมนุษย์จากเลือดของเทพที่ถูกปราบ เพื่อให้เป็นผู้รับใช้เทพเจ้าทั้งหลาย
  • Period: 3500 BCE to 2000 BCE

    ความเชื่อของเมโสโปเตเมีย

    ตำนานการสร้าง: หนึ่งในตำนานที่สำคัญคือ "เอนุม่า เอลิช" ซึ่งเล่าถึงการสร้างโลกและมนุษย์จากการต่อสู้ระหว่างเทพ มาร์ดูคได้สร้างมนุษย์จากเลือดของเทพที่ถูกปราบ เพื่อให้เป็นผู้รับใช้เทพเจ้าทั้งหลาย
    ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย: พวกเขาเชื่อว่าโลกหลังความตายไม่เป็นที่น่ายินดี โดยจะมีการลงโทษสำหรับผู้ที่ทำผิดกฎในชีวิต ซึ่งเห็นได้จากการฝังศพและการถวายสิ่งของในหลุมฝังศพการเชื่อมโยงกับการเกษตร: เทพเจ้าเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ชาวเมโสโปเตเมียใช้ความเชื่อนี้ในการเกษตร การบูชาฤดูกาลต่างๆ เช่น การเก็บเกี่ยว
  • 3100 BCE

    การปกครองของอียิปต์โบราณ

    การปกครองของอียิปต์โบราณ
    การปกครอง: อียิปต์โบราณปกครองโดยฟาโรห์ที่เป็นทั้งหัวหน้ารัฐและศาสนา ฟาโรห์ถือเป็นเทพเจ้าและผู้ปกครองสูงสุด มีระบบราชการที่ซับซ้อนและมีเจ้าหน้าที่ที่ช่วยในการบริหารจัดการดินแดน
  • 3100 BCE

    พิธีกรรมและการบูชาของอียิปต์

    พิธีกรรมและการบูชาของอียิปต์
    การบูชาเทพเจ้ามักจัดขึ้นในวัดที่สำคัญ เช่น วัด Karnak และ Luxor: การถวาย: จะมีการถวายอาหาร เครื่องดื่ม ของมีค่า เช่น ทองคำ และเครื่องประดับ เพื่อสร้างความพอใจแก่เทพเจ้า
    เทศกาลต่างๆ: เช่น เทศกาล Osiris ซึ่งเฉลิมฉลองการฟื้นคืนชีพของเทพออสซิริส และการเก็บเกี่ยว
  • 3100 BCE

    ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของอียิปต์

    ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของอียิปต์
    ชาวอียิปต์เชื่อในชีวิตหลังความตายอย่างแน่นแฟ้น การฝังศพและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญมาก: มัมมี่: การทำมัมมี่เพื่อรักษาร่างกายสำหรับชีวิตหลังความตาย โดยจะต้องมีการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดี
    หนังสือแห่งความตาย (Book of the Dead): เป็นคัมภีร์ที่มีคำอธิษฐานและบทสวดที่ช่วยแนะนำผู้ตายในโลกหลังความตาย โดยมีการวางไว้ในหลุมฝังศพ
  • 3100 BCE

    ความเชื่อของอียิปต์

    ความเชื่อของอียิปต์
    เทพเจ้าและความเชื่อทางศาสนา
    รา (Ra): เทพแห่งดวงอาทิตย์ ถือเป็นเทพสูงสุด เชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลกและเดินทางในท้องฟ้าโดยเรือแต่ละวัน
    ออสซิริส (Osiris): เทพแห่งความตายและการฟื้นคืนชีพ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเก็บเกี่ยว โดยมักถูกวาดภาพในลักษณะของผู้ชายที่มีสีเขียว
    อิสซิส (Isis): เทพีแห่งความรักและเวทมนตร์ มีบทบาทในการรักษาชีวิตของมนุษย์และการฟื้นคืนชีวิตให้กับออสซิริส
    ฮอรัส (Horus): เทพแห่งท้องฟ้าและการปกครอง เชื่อว่าเป็นบุตรของออสซิริสและอิสซิส มักแสดงในรูปของนกอินทรี
  • Period: 3100 BCE to 332 BCE

    การปกครองของอียิปต์โบราณ

    ฟาโรห์: เป็นผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและศาสนา ฟาโรห์ถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าและถือเป็นผู้ปกครองเหนือสุดของรัฐ
    ข้าราชการและบัณฑิต: มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการราชการและทรัพย์สินของรัฐ
  • Period: 3100 BCE to 30 BCE

    พิธีกรรมและการบูชาของอียิปต์

    การบูชาเทพเจ้ามักจัดขึ้นในวัดที่สำคัญ เช่น วัด Karnak และ Luxor: การถวาย: จะมีการถวายอาหาร เครื่องดื่ม ของมีค่า เช่น ทองคำ และเครื่องประดับ เพื่อสร้างความพอใจแก่เทพเจ้า
    เทศกาลต่างๆ: เช่น เทศกาล Osiris ซึ่งเฉลิมฉลองการฟื้นคืนชีพของเทพออสซิริส และการเก็บเกี่ยว
  • Period: 3100 BCE to 30 BCE

    ความเชื่อของอียิปต์

    เทพเจ้าและความเชื่อทางศาสนา
    รา (Ra): เทพแห่งดวงอาทิตย์ ถือเป็นเทพสูงสุด เชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลกและเดินทางในท้องฟ้าโดยเรือแต่ละวัน
    ออสซิริส (Osiris): เทพแห่งความตายและการฟื้นคืนชีพ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเก็บเกี่ยว โดยมักถูกวาดภาพในลักษณะของผู้ชายที่มีสีเขียว
    อิสซิส (Isis): เทพีแห่งความรักและเวทมนตร์ มีบทบาทในการรักษาชีวิตของมนุษย์และการฟื้นคืนชีวิตให้กับออสซิริส
    ฮอรัส (Horus): เทพแห่งท้องฟ้าและการปกครอง เชื่อว่าเป็นบุตรของออสซิริสและอิสซิส มักแสดงในรูปของนกอินทรี
  • Period: 3100 BCE to 30 BCE

    ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของอียิปต์

    ชาวอียิปต์เชื่อในชีวิตหลังความตายอย่างแน่นแฟ้น การฝังศพและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญมาก: มัมมี่: การทำมัมมี่เพื่อรักษาร่างกายสำหรับชีวิตหลังความตาย โดยจะต้องมีการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดี
    หนังสือแห่งความตาย (Book of the Dead): เป็นคัมภีร์ที่มีคำอธิษฐานและบทสวดที่ช่วยแนะนำผู้ตายในโลกหลังความตาย โดยมีการวางไว้ในหลุมฝังศพ
  • 2334 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยยุคอาคาเดียน

    การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยยุคอาคาเดียน
    ซาร์กอนและผู้สืบทอดของเขาได้จัดระเบียบการปกครองให้เป็นการรวมศูนย์ โดยการตั้งศูนย์การปกครองที่เมืองอาคาด ซึ่งทำให้การบริหารราชการและการควบคุมพื้นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Period: 2334 BCE to 2154 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอาคาเดียน

    การปกครองในอาคาเดียนมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กษัตริย์และศูนย์กลางการปกครองที่เมืองอาคาด การจัดระเบียบการบริหารแบบรวมศูนย์ทำให้การควบคุมและการบริหารราชการมีประสิทธิภาพ
    ซาร์กอนและผู้สืบทอดมีการตั้งผู้ว่าการ (Governor) และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการควบคุมภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้การปกครองดำเนินไปอย่างราบรื่น
  • 2000 BCE

    การปกครองของมายา

    การปกครองของมายา
    อารยธรรมมายาเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอเมริกากลาง โดยเฉพาะในภูมิภาคเมโซอเมริกา ซึ่งมีการพัฒนาในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงเวลาเกือบ 3,000 ปี ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1500 คริสต์ศักราช ระบบการปกครองของมายามีความซับซ้อน มีโครงสร้างทางสังคมที่ชัดเจน และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน
  • Period: 2000 BCE to 1500

    การปกครองของมายา

    อารยธรรมมายาเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอเมริกากลาง โดยเฉพาะในภูมิภาคเมโซอเมริกา ซึ่งมีการพัฒนาในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงเวลาเกือบ 3,000 ปี ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1500 คริสต์ศักราช ระบบการปกครองของมายามีความซับซ้อน มีโครงสร้างทางสังคมที่ชัดเจน และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน
  • 1894 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคบาบิโลเนียน

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคบาบิโลเนียน
    การปกครองในยุคบาบิโลเนียนมีการพัฒนาทั้งในด้านการบริหารราชการและการออกกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของฮัมมูราบีและเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมโสโปเตเมีย ระบบกฎหมายและการบริหารราชการที่เข้มงวดมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาณาจักรและผลักดันการพัฒนาเมืองอย่างมีระเบียบ
  • 1894 BCE

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนต้น

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนต้น
    ยุคนี้เริ่มต้นด้วยการครองราชย์ของกษัตริย์ที่สำคัญเช่น ซัมซู-อิลูนา ซึ่งเป็นกษัตริย์รุ่นที่สองของราชวงศ์บาบิโลเนียน โดยการปกครองของเขาและผู้สืบทอดสืบเนื่องจากการครองราชย์ของฮัมมูราบี
    ฮัมมูราบี ขึ้นครองราชย์ในปี 1792 ปีก่อนคริสตกาล โดยการปกครองของเขาทำให้บาบิโลนกลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจสำคัญในเมโสโปเตเมีย
  • Period: 1894 BCE to 1595 BCE

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนต้น

    การบริหารท้องถิ่นถูกดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง ซึ่งรับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีและการบังคับใช้กฎหมาย
  • Period: 1715 BCE to 642 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของอิสลาม

    อียิปต์ถูกปกครองโดยอาณาจักรฟาติมีด, อาณาจักรมามลุก, และอาณาจักรออตโตมันในช่วงนี้
    การปกครองตามกฎหมายอิสลาม: การปกครองดำเนินการตามหลักการของกฎหมายอิสลาม
  • 1644 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ชิง

    การปกครอง ราชวงศ์ชิง
    การปกครอง: ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งโดยแมนจู ซึ่งมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและรักษาระบบราชการแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งควบคุมและปกครองด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 18 มณฑลใหญ่ (provinces) ซึ่งมีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง การจัดการระบบภาษีและทรัพยากรได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
    การปฏิรูป: ราชวงศ์ชิงได้พัฒนาระบบการบริหารที่มีความยืดหยุ่นและการควบคุมทรัพยากรที่มีระเบียบ มีการจัดการด้านการทหารและการปกครองที่เข้มงวด
  • Period: 1644 BCE to 1912 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ชิง

    การปกครอง: ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งโดยแมนจู ซึ่งมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและรักษาระบบราชการแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งควบคุมและปกครองด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  • 1595 BCE

    การกปครองยุคบาบิโลเนียนตอนกลาง

    การกปครองยุคบาบิโลเนียนตอนกลาง
    ารฟื้นฟูอาณาจักร:
    หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮัมมูราบี บาบิโลนได้รับการฟื้นฟูโดยกษัตริย์ใหม่ เช่น การปกครองของราชวงศ์ที่ต่อมาทำให้บาบิโลนฟื้นฟูขึ้นใหม่
    การบริหารราชการ:
    การปกครองยังคงมีลักษณะของเมือง-รัฐและมีการจัดระเบียบการบริหารที่ดีขึ้น รวมถึงการจัดเก็บภาษีและการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน
  • Period: 1595 BCE to 1155 BCE

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนกลาง

    หลังจากความรุ่งเรืองในช่วงปกครองของฮัมมูราบี อาณาจักรบาบิโลนเผชิญกับการโจมตีจากภายนอกและความขัดแย้งภายในที่นำไปสู่การล่มสลาย
  • 1517 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของอิสลาม

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของอิสลาม
    การปกครอง: อียิปต์ถูกปกครองโดยอาณาจักรอิสลามหลายแห่ง รวมถึงอาณาจักรฟาติมีด, อาณาจักรมามลุก, และอาณาจักรออตโตมัน ในแต่ละยุค การปกครองจะเปลี่ยนแปลงตามลำดับของผู้ปกครองแต่ละกลุ่มการปกครองดำเนินการตามหลักการของกฎหมายอิสลาม
  • 1500 BCE

    ความเชื่อของฮินดู

    ความเชื่อของฮินดู
    พระเจ้าหรือเทพเจ้า
    ฮินดูมีเทพเจ้าหลายองค์ โดยสำคัญได้แก่: บราห์ม่า (Brahma): เทพเจ้าผู้สร้าง
    พระวิษณุ (Vishnu): เทพเจ้าผู้รักษา มีอวตารสำคัญ เช่น รามาและกฤษณะ
    พระศิวะ (Shiva): เทพเจ้าผู้ทำลายและฟื้นฟู เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง
    2. ศาสนศาสตร์และพระเวท
    พระเวท: ประกอบด้วยสี่ชุด ได้แก่ ริกเวท (Rigveda), ยชุรเวท (Yajurveda), สามเวท (Samaveda), และอาธารวเวท (Atharvaveda) ซึ่งประกอบไปด้วยบทสวดและพิธีกรรม
    อุปนิษัท: ข้อความที่อธิบายปรัชญาและธรรมชาติของพระเจ้า
  • 1500 BCE

    การปกครองของฮินดูยุคเว็ด

    การปกครองของฮินดูยุคเว็ด
    ลักษณะการปกครอง: ในช่วงนี้เป็นยุคที่มีกลุ่มชนเผ่าหรือการปกครองในลักษณะของเผ่า (tribal) โดยมีหัวหน้าเผ่าหรือราชาที่มีอำนาจในชุมชนของตน การปกครองยังไม่ได้เป็นระบบที่เป็นทางการมากนัก แต่มีการใช้การแบ่งแยกตามลำดับชั้นของสังคม (วรรณะ) ที่กำหนดบทบาทของแต่ละกลุ่มในสังคม
    ระบบวรรณะ: การแบ่งแยกสังคมออกเป็น 4 วรรณะหลักคือ บราห์มิน (พราหมณ์), ขัตติยะ (ชนชั้นนักรบ), ไวษยะ (พ่อค้าและชาวนา), และ ศูทรา (กรรมกร) ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบสังคมในศาสนาฮินดู
  • Period: 1500 BCE to 500 BCE

    การปกครองของฮินดูยุคเว็ด

    การปกครองมักจะเป็นรูปแบบของชนเผ่าหรือการปกครองแบบราชาธิปไตย โดยมีราชาหรือหัวหน้าเผ่าเป็นผู้ปกครอง มีการจัดระเบียบสังคมตามระบบวรรณะ.
  • Period: 1500 BCE to

    ความเชื่อของฮินดู

    แนวคิดเรื่องกรรมและการเกิดใหม่
    กรรม (Karma): เชื่อว่าการกระทำในชีวิตนี้จะส่งผลต่อชีวิตในอนาคต
    การเกิดใหม่ (Reincarnation): วิญญาณจะเกิดใหม่ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับกรรมในชีวิตก่อนหน้า
    4. หลักธรรม
    ดาร์มา (Dharma): หมายถึงหน้าที่หรือวิถีทางที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่างกันไปตามสถานะและอายุ
    โมกษะ : การหลุดพ้นจากวงจรการเกิดใหม่ ถือเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต
    5. พิธีกรรมและเทศกาล
    พิธีทางศาสนา: รวมถึงการสวดมนต์ การบูชารูปเคารพ และการทำบุญ
    เทศกาล: เช่น ดิวาลี ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่าง และฮอลี เทศกาลแห่งสีสัน
  • 1368 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์หมิง

    การปกครอง ราชวงศ์หมิง
    การปกครอง: ราชวงศ์หมิงมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมุ่งเน้นการปกครองที่เข้มงวด มีการปรับปรุงระบบการบริหารให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 13 มณฑลใหญ่ (provinces) ซึ่งมีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง มีการจัดเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรอย่างมีระเบียบ
    การปฏิรูป: ราชวงศ์หมิงได้ปฏิรูประบบการทหาร การจัดการภาษีและการจัดการทรัพยากร รวมถึงการส่งเสริมศิลปะและวรรณกรรม
  • Period: 1368 BCE to 1644 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์หมิง

    การปกครอง: ราชวงศ์หมิงมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมุ่งเน้นการปกครองที่เข้มงวด มีการปรับปรุงระบบการบริหารให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
  • 1271 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์หยวน

    การปกครอง ราชวงศ์หยวน
    การปกครอง: ราชวงศ์หยวนก่อตั้งโดยมองโกลภายใต้การปกครองของ Kublai Khan มีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและแบ่งแผ่นดินออกเป็นหลายเขตการปกครอง
    การจัดการ: ระบบการปกครองแบ่งออกเป็น 13 เขตการปกครองหลัก (provinces) ซึ่งมีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง มีการจัดการระบบภาษีและการควบคุมทรัพยากรอย่างเข้มงวด
    การปฏิรูป: ราชวงศ์หยวนมุ่งเน้นการบริหารที่มีระเบียบและการควบคุมของมองโกลในแผ่นดิน มีการพัฒนาโครงสร้างทางการทหารและการบริหารที่สอดคล้องกับการปกครองของมองโกล
  • Period: 1271 BCE to 1368 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์หยวน

    การปกครอง: ราชวงศ์หยวนก่อตั้งโดยมองโกลภายใต้การปกครองของ Kublai Khan มีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและแบ่งแผ่นดินออกเป็นหลายเขตการปกครอง
  • 1000 BCE

    ความเชื่อของกรีก ลัทธิเทพเจ้ากรีก

    ความเชื่อของกรีก  ลัทธิเทพเจ้ากรีก
    ซูส (Zeus): เทพเจ้าที่สูงสุด เป็นเทพแห่งฟ้าและฟ้าผ่า ประมาณ ค.ศ. 1000–400 ก่อนคริสต์ศักราช
    เฮร่า (Hera): เทพีแห่งการแต่งงานและครอบครัว ภรรยาของซูส
    โปเซดอน (Poseidon): เทพแห่งท้องทะเล รับผิดชอบในการสร้างพายุและแผ่นดินไหว
    อาธีน่า (Athena): เทพีแห่งปัญญา, สงคราม และงานฝีมือ โดยเกิดจากศีรษะของซูส
    อาพอโล (Apollo): เทพแห่งดนตรี, กวี, และการพยากรณ์
    อาร์เทมิส (Artemis): เทพีแห่งการล่าสัตว์และความบริสุทธิ์
    อาเรส (Ares): เทพแห่งสงคราม ซึ่งมีความขัดแย้งกับเทพอื่น ๆ
  • Period: 1000 BCE to 400 BCE

    ความเชื่อของกรีก ลัทธิเทพเจ้ากรีก

    ซูส (Zeus): เทพเจ้าที่สูงสุด เป็นเทพแห่งฟ้าและฟ้าผ่า ประมาณ ค.ศ. 1000–400 ก่อนคริสต์ศักราช
    เฮร่า (Hera): เทพีแห่งการแต่งงานและครอบครัว ภรรยาของซูส
    โปเซดอน (Poseidon): เทพแห่งท้องทะเล รับผิดชอบในการสร้างพายุและแผ่นดินไหว
    อาธีน่า (Athena): เทพีแห่งปัญญา, สงคราม และงานฝีมือ โดยเกิดจากศีรษะของซูส
    อาพอโล (Apollo): เทพแห่งดนตรี, กวี, และการพยากรณ์
    อาร์เทมิส (Artemis): เทพีแห่งการล่าสัตว์และความบริสุทธิ์
    อาเรส (Ares): เทพแห่งสงคราม ซึ่งมีความขัดแย้งกับเทพอื่น ๆ
  • 960 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ซ่ง

    การปกครอง ราชวงศ์ซ่ง
    การปกครอง: ราชวงศ์ซ่งมุ่งเน้นการปกครองที่มีประสิทธิภาพและการบริหารที่เป็นระเบียบ มีการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการพัฒนาสังคมและการศึกษา
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็นมณฑลและเขตการปกครองที่มีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง การจัดการภาษีและการควบคุมทรัพยากรได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
    การปฏิรูป: ราชวงศ์ซ่งได้ปฏิรูประบบการจัดการภาษีและทรัพยากร การจัดตั้งระบบทหารที่มีความสามารถสูง และการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเทคโนโลยี
  • Period: 960 BCE to 1279 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ซ่ง

    การปกครอง: ราชวงศ์ซ่งมุ่งเน้นการปกครองที่มีประสิทธิภาพและการบริหารที่เป็นระเบียบ มีการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการพัฒนาสังคมและการศึกษา
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็นมณฑลและเขตการปกครองที่มีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง การจัดการภาษีและการควบคุมทรัพยากรได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
    การปฏิรูป: ราชวงศ์ซ่งได้ปฏิรูประบบการจัดการภาษีและทรัพยากร การจัดตั้งระบบทหารที่มีความสามารถสูง และการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเทคโนโลยี
  • 900 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอัสซีเรียน

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอัสซีเรียน
    พระมหากษัตริย์มีการควบคุมโดยตรงต่อกิจการทางการปกครองและทหาร รวมถึงการมีระบบราชการที่ซับซ้อน
    การปกครองของอัสซีเรียนเน้นการควบคุมที่เข้มงวดและมีการจัดระเบียบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้อาณาจักรสามารถขยายและรักษาอำนาจในดินแดนที่กว้างขวางได้. รัฐอัสซีเรียนเป็นรัฐราชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดและถือว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า พระมหากษัตริย์อัสซีเรียนได้รับการเชิดชูและมีอำนาจทางการเมือง การทหาร และศาสนาอย่างเต็มที่
  • Period: 900 BCE to 612 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอัสซีเรียน

    การปกครองในยุคอัสซีเรียนมีการรวมศาสนาเข้ากับการปกครอง เช่น การสร้างวิหารและการสนับสนุนศาสนาเพื่อลงโทษประชาชน รัฐอัสซีเรียนเป็นรัฐราชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดและถือว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า พระมหากษัตริย์อัสซีเรียนได้รับการเชิดชูและมีอำนาจทางการเมือง การทหาร และศาสนาอย่างเต็มที่
  • 800 BCE

    การปกครองของกรีกโบราณ ยุคโฮเมอริค

    การปกครองของกรีกโบราณ ยุคโฮเมอริค
    ลักษณะการปกครอง: ในยุคนี้การปกครองเป็นรูปแบบของการปกครองที่มีกษัตริย์ (monarchies) เช่นที่เมืองรัฐไมซีนี (Mycenae) ซึ่งการปกครองอยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุด
    โครงสร้าง: กษัตริย์จะเป็นผู้นำทางการเมืองและทหาร รวมทั้งมีบทบาทในการปกครองดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุม มีข้าราชการและผู้ช่วยในระดับท้องถิ่น
  • Period: 800 BCE to 500 BCE

    การปกครองของกรีก ยุคโฮเมอริค

    ในช่วงเวลานี้ การปกครองส่วนใหญ่ยังคงเป็นลักษณะของราชาธิปไตยที่มีลักษณะเฉพาะของเมืองหรือเผ่า โดยกษัตริย์มักจะมีอำนาจสูงสุดในด้านการเมืองและทหาร
    กษัตริย์มักมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากร การตัดสินคดี และการทำสงคราม รวมถึงการเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนา
    การจัดการ:
    มีข้าราชการและผู้ช่วยในระดับท้องถิ่นที่ช่วยในการบริหารจัดการ ภายใต้กษัตริย์ที่เป็นผู้นำสูงสุด
    การปกครองมักเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีและบทบาททางสังคมที่กำหนดโดยกษัตริย์
  • 753 BCE

    การปกครองของโรมัน ราชาธิปไตย

    การปกครองของโรมัน ราชาธิปไตย
    ราชา: ผู้นำสูงสุดของรัฐโรมที่มีอำนาจทางการเมือง, ทหาร, และศาสนา ราชาจะมีอำนาจในการจัดการศาล, กฎหมาย, และการทูต การเลือกตั้งราชามักจะมาจากชนชั้นสูงของโรม
    ซินิเซอร์ : เป็นสภาที่ประกอบด้วยชนชั้นสูงจากตระกูลต่าง ๆ ซึ่งให้คำปรึกษาแก่ราชาและช่วยในการตัดสินใจ
    คอมิทีอา คูเรียตา : เป็นการประชุมที่รวมสมาชิกของชนชั้นสูง เพื่อให้การรับรองการตัดสินใจของราชา เช่น การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่หรือการประกาศสงคราม
    การปกครองในช่วงนี้: การปกครองภายใต้ระบบราชาธิปไตยมีลักษณะเป็นศูนย์กลางการบริหารและอำนาจรวมอยู่ที่ราชา
  • Period: 753 BCE to 509 BCE

    การปกครองของโรมัน ราชาธิปไตย

    ราชา (Rex): ผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและทหาร ราชาได้รับการแต่งตั้งโดยชนชั้นสูงและมีบทบาทในด้านศาสนา
    ซินิเซอร์ (Senate): คณะกรรมการที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชนชั้นสูงของโรมัน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ราชา
    คอมิทีอา คูเรียตา (Comitia Curiata): การประชุมของชนชั้นสูงที่ทำหน้าที่ในการให้การรับรองกฎหมายและการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่
  • 642 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของไบเซนไทน์

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของไบเซนไทน์
    จักรวรรดิโรมตะวันออก (ไบเซนไทน์): อียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมตะวันออก มีการปกครองแบบจักรวรรดิ
    ผู้ปกครองระดับภูมิภาค: มีการจัดตั้งผู้ปกครองระดับภูมิภาคเพื่อดูแลและบริหาร
  • Period: 642 BCE to 395 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของไบเซนไทน์

    การปกครอง: อียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมตะวันออก (ไบเซนไทน์) การปกครองจัดอยู่ในระบบของจักรวรรดิโรมตะวันออก มีการจัดตั้งผู้ปกครองระดับสูงเพื่อดูแลพื้นที่
  • 626 BCE

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนใหม่

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนใหม่
    การบริหารราชการในยุคนี้มีความเข้มงวดและมีการจัดระเบียบที่ดีขึ้น มีการจัดการการปกครองท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
    การจัดเก็บภาษีและการควบคุม: ระบบการเก็บภาษีและการควบคุมการค้าขายถูกจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อสนับสนุนการบริหารของรัฐ
    การปกครองท้องถิ่น:
    เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับการแต่งตั้งเพื่อดูแลการปกครองแต่ละภูมิภาค และรายงานไปยังศูนย์กลางการปกครองที่เมืองบาบิโลน
  • 626 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคใหม่บาบิโลน

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคใหม่บาบิโลน
    พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีบทบาททั้งในด้านการเมืองและศาสนา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในเรื่องนี้
    ข้าราชการ: ข้าราชการระดับสูงและผู้ปกครองจังหวัดเป็นผู้ช่วยในการบริหารจัดการภายในอาณาจักร บทบาทของพวกเขาคือการจัดการภาษี การทหาร และการดูแลประชาชน
    ระบบกฎหมาย: มีการใช้กฎหมายที่เข้มงวดเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินและการค้า
  • Period: 626 BCE to 539 BCE

    การปกครองยุคบาบิโลเนียนใหม่

    การบริหารราชการในยุคนี้มีความเข้มงวดและมีการจัดระเบียบที่ดีขึ้น มีการจัดการการปกครองท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
    การจัดเก็บภาษีและการควบคุม: ระบบการเก็บภาษีและการควบคุมการค้าขายถูกจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อสนับสนุนการบริหารของรัฐ
  • Period: 626 BCE to 539 BCE

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคใหม่บาบิโลน

    การปกครองในยุคนี้เน้นการรวมศูนย์อำนาจและการพัฒนาสิ่งปลูกสร้างเพื่อยกระดับฐานะของเมืองบาบิโลนให้เป็นศูนย์กลางของโลกโบราณ.
  • 618 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ถัง

    การปกครอง ราชวงศ์ถัง
    การปกครอง: ราชวงศ์ถังมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ โดยมีระบบการบริหารที่เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ การปกครองยังอิงตามหลักขงจื๊อ แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมือง
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 10 มณฑลใหญ่ ซึ่งมีการจัดการโดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์กลางและข้าราชการท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้ง มีการพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรและภาษีที่มีประสิทธิภาพ
    การปฏิรูป: ราชวงศ์ถังได้ปฏิรูประบบการทหาร การจัดการและการบริหารเพื่อเพิ่มความสามารถในการควบคุมและการปกครอง โดยเน้นการส่งเสริมวรรณกรรมและศิลปะ
  • Period: 618 BCE to 907 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ถัง

    การปกครอง: ราชวงศ์ถังมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ โดยมีระบบการบริหารที่เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ การปกครองยังอิงตามหลักขงจื๊อ แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมือง
  • 604 BCE

    ความเชื่อของจีน ลัทธิเต๋า

    ความเชื่อของจีน  ลัทธิเต๋า
    ประวัติ: ก่อตั้งโดยลาวจื๊อ (Laozi) ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 604–531 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
    หลักการสำคัญ: เต๋า (Tao), การไม่ทำ (Wu Wei), การเข้าถึงความอมตะ
    อิทธิพล: ส่งผลต่อศิลปะ วรรณกรรม และการแพทย์แบบจีน
  • Period: 604 BCE to 531 BCE

    ความเชื่อของจีน ลัทธิเต๋า

    ประวัติ: ก่อตั้งโดยลาวจื๊อ (Laozi) ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 604–531 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
    หลักการสำคัญ: เต๋า (Tao), การไม่ทำ (Wu Wei), การเข้าถึงความอมตะ
    อิทธิพล: ส่งผลต่อศิลปะ วรรณกรรม และการแพทย์แบบจีน
  • 551 BCE

    ความเชื่อของจีน ลัทธิขงจื๊อ

    ความเชื่อของจีน  ลัทธิขงจื๊อ
    ประวัติ: ก่อตั้งโดยขงจื๊อ (Kong Fuzi) ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 551–479 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
    หลักการสำคัญ: ความรักระหว่างมนุษย์, คุณธรรม, การปกครองที่ดี
    อิทธิพล: มีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบการศึกษาและการปกครอง
  • Period: 551 BCE to 479 BCE

    ความเชื่อของจีน ลัทธิขงจื๊อ

    ประวัติ: ก่อตั้งโดยขงจื๊อ (Kong Fuzi) ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 551–479 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
    หลักการสำคัญ: ความรักระหว่างมนุษย์, คุณธรรม, การปกครองที่ดี
    อิทธิพล: มีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบการศึกษาและการปกครอง
  • 550 BCE

    การปกครองของฮินดู อาณาจักรกุปตะ

    การปกครองของฮินดู อาณาจักรกุปตะ
    การปกครอง: เป็นการปกครองที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจและมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ โดยกษัตริย์เช่นพระเจ้าจันทรากุปตะ (Chandragupta I) และพระเจ้าสัมุทรกุปตะ (Samudragupta) มีความสามารถในการบริหารและขยายอาณาจักรออกไป
    ระบบการบริหาร: มีระบบราชการที่จัดการอย่างเป็นระเบียบและแบ่งออกเป็นหลายภูมิภาค มีการจัดการภาษีและการจัดเก็บทรัพยากรที่ดีเยี่ยม พร้อมทั้งการสนับสนุนศิลปะและวรรณกรรม
  • Period: 550 BCE to 320 BCE

    การปกครองของฮินดู อาณาจักรกุปตะ

    การปกครอง: เป็นการปกครองที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจและมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ โดยกษัตริย์เช่นพระเจ้าจันทรากุปตะ (Chandragupta I) และพระเจ้าสัมุทรกุปตะ (Samudragupta) มีความสามารถในการบริหารและขยายอาณาจักรออกไป
  • 509 BCE

    การปกครองของสาธารณรัฐโรมัน

    การปกครองของสาธารณรัฐโรมัน
    โครงสร้างการปกครอง:
    สภาซีนาท เป็นสภาที่มีอำนาจสูงสุด ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชนชั้นสูงหรือขุนนาง โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองและพิจารณากฎหมาย
    ผู้บริหาร : มีสองคนที่ได้รับเลือกทุกปี ทำหน้าที่บริหารและเป็นผู้นำทัพในสงคราม
    ผู้พิพากษา : มีหน้าที่ดูแลการพิพากษาและการปกครองทางกฎหมาย
    ประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและการลงคะแนนเสียงในกฎหมายลักษณะการปกครอง:
    การแบ่งแยกอำนาจเพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมศูนย์อำนาจ
    การขยายดินแดนผ่านการพิชิตและการทำสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน
  • Period: 509 BCE to 27 BCE

    การปกครองของสาธารณรัฐโรมัน

    ลักษณะการปกครอง:
    การแบ่งแยกอำนาจเพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมศูนย์อำนาจ
    การขยายดินแดนผ่านการพิชิตและการทำสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน
  • 508 BCE

    การปกครองของกรีกโบราณยุค กรุงเอเธนส์

    การปกครองของกรีกโบราณยุค กรุงเอเธนส์
    ประชาธิปไตยโดยตรง : กรุงเอเธนส์เป็นที่รู้จักในฐานะเป็นต้นแบบของประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่งประชาชนมีสิทธิเข้าร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ของรัฐโดยตรง ไม่ผ่านตัวแทน
    เอเคลเซีย สภาประชาชนที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ เพื่อทำการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ
    บูลีคณะกรรมการที่ประกอบด้วย 500 สมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งจาก 10 ตระกูลหลัก ๆ ซึ่งมีหน้าที่เตรียมวาระการประชุมให้กับเอเคลเซีย
    เฮลิเซีย ศาลประชาชนที่ตัดสินคดีทางกฎหมาย โดยสมาชิกจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
    อาร์คอน เจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด
  • Period: 508 BCE to 322 BCE

    การปกครองของกรีกโบราณยุค กรุงเอเธนส์

    ประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy) เอเคลเซีย (Ekklesia): เป็นสภาประชาชนที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมและมีเสียงในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของรัฐ เช่น กฎหมาย, นโยบายต่างประเทศ, และการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง การประชุมของเอเคลเซียจะจัดขึ้นทุก 9 วัน และการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ จะเป็นไปตามเสียงข้างมาก
  • 500 BCE

    การปกครองยุค สปาร์ตา

    การปกครองยุค สปาร์ตา
    การปกครองแบบราชาธิปไตยร่วมกับสถาบันกฎหมาย:
    สองกษัตริย์ (Dual Kingship): สปาร์ตามีสองกษัตริย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางทหารและมีบทบาทในเรื่องศาสนา
    ซีนีทรี (Gerousia): สภาอาวุโสที่ประกอบด้วย 28 สมาชิกอายุเกิน 60 ปีและสองกษัตริย์ มีหน้าที่แนะนำและตรวจสอบการตัดสินใจ
    อีฟอรานส์ (Ephors): คณะกรรมการที่มีห้าคน ทำหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของกษัตริย์
    อากอร์า (Apella): สภาประชาชนที่มีการประชุมทุกปีเพื่อหารือเกี่ยวกับการตัดสินใจที่สำคัญ
  • Period: 500 BCE to 371 BCE

    การปกครองยุค สปาร์ตา

    สองกษัตริย์ (Dual Kingship): สปาร์ตามีสองกษัตริย์ที่มาจากตระกูลอาหลิด (Agiad) และอีบิทิด (Eurypontid) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำทางทหารและมีบทบาทในศาสนา กษัตริย์ทั้งสองทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารในระหว่างสงคราม และมีอำนาจในบางเรื่องทางศาสนา
    ซีนีทรี (Gerousia): สภาอาวุโสที่ประกอบด้วย 28 สมาชิกที่มีอายุเกิน 60 ปีและสองกษัตริย์ รวมทั้งหมด 30 คน Gerousia มีหน้าที่เสนอและปรึกษาหารือเกี่ยวกับนโยบายสำคัญ รวมถึงการพิจารณาคดีที่มีความสำคัญสูง
    อีฟอรานส์ (Ephors): คณะกรรมการที่มีห้าคนที่ได้รับการเลือกตั้ง
  • 460 BCE

    ความเชื่อของกรีก วิทยาศาสตร์และการแพทย์

    ความเชื่อของกรีก วิทยาศาสตร์และการแพทย์
    ฮิปโปเครตีส (Hippocrates):
    ประมาณ ค.ศ. 460–370 ก่อนคริสต์ศักราช เรียกได้ว่าเป็น "บิดาแห่งการแพทย์"
    หลักการ: การสังเกตอาการและการรักษาอย่างมีระเบียบ
  • Period: 460 BCE to 370 BCE

    ความเชื่อของกรีก วิทยาศาสตร์และการแพทย์

    ฮิปโปเครตีส (Hippocrates):
    ประมาณ ค.ศ. 460–370 ก่อนคริสต์ศักราช เรียกได้ว่าเป็น "บิดาแห่งการแพทย์"
    หลักการ: การสังเกตอาการและการรักษาอย่างมีระเบียบ
  • 395 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของโรม

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของโรม
    การปกครอง: อียิปต์เป็นจังหวัดของจักรวรรดิโรม ซึ่งมีผู้ว่าการจังหวัดที่แต่งตั้งโดยจักรพรรดิ การปกครองถูกบริหารโดยจักรวรรดิโรมผ่านระบบราชการที่จัดตั้งไว้ การปกครองเน้นการเก็บภาษีและควบคุมทรัพยากร มีระบบราชการที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการบริหาร
  • Period: 395 BCE to 30 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของโรม

    อียิปต์ถูกจัดเป็นจังหวัดของจักรวรรดิโรม มีผู้ว่าการจังหวัดที่แต่งตั้งโดยจักรพรรดิ
  • 332 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของกรีก

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของกรีก
    ราชวงศ์ปโตเลไมอิด: ก่อตั้งโดยปโตเลมีที่ 1 หลังจากการพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช การปกครองมีความเป็นกรีกและผสมผสานวัฒนธรรมกรีกและอียิปต์
    ฟาโรห์ปโตเลไมอิด: ฟาโรห์จากราชวงศ์ปโตเลไมอิดเป็นผู้ปกครองและรักษาความสัมพันธ์กับทั้งชาวกรีกและชาวอียิปต์
  • Period: 332 BCE to 30 BCE

    อียิปต์ภายใต้การปกครองของกรีก

    การปกครอง: หลังจากการพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช อียิปต์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปโตเลไมอิดซึ่งเป็นของกรีก คเลโอพัตราเป็นหนึ่งในฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ ก่อนที่อียิปต์จะถูกผนวกเป็นจังหวัดของโรม
  • Period: 332 BCE to 185 BCE

    การปกครองของฮินดูยุคมหายุค อาณาจักรโมริยะ

    การปกครอง: อาณาจักรโมริยะเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมีระเบียบแบบแผน โดยกษัตริย์พระเจ้าอโศกมหาราช (Ashoka) เป็นผู้ปกครองที่สำคัญในช่วงปลายของอาณาจักร มีการบริหารจัดการที่มีระเบียบ และมีการส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างมาก
    ระบบการบริหาร: มีการแบ่งแยกภาคส่วนการบริหารอย่างชัดเจน พร้อมทั้งการมีเจ้าหน้าที่บริหารในแต่ละภูมิภาคเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
  • 322 BCE

    การปกครองของฮินดูยุคมหายุค อาณาจักรโมริยะ

    การปกครองของฮินดูยุคมหายุค อาณาจักรโมริยะ
    การปกครอง: อาณาจักรโมริยะเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมีระเบียบแบบแผน โดยกษัตริย์พระเจ้าอโศกมหาราช (Ashoka) เป็นผู้ปกครองที่สำคัญในช่วงปลายของอาณาจักร มีการบริหารจัดการที่มีระเบียบ และมีการส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างมาก
    ระบบการบริหาร: มีการแบ่งแยกภาคส่วนการบริหารอย่างชัดเจน พร้อมทั้งการมีเจ้าหน้าที่บริหารในแต่ละภูมิภาคเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
  • 221 BCE

    การปกครองของจีน ราชวงศ์ฉิน

    การปกครองของจีน ราชวงศ์ฉิน
    การปกครอง: ราชวงศ์ฉินก่อตั้งโดยฉินฉ Huang (Qin Shi Huang) ซึ่งรวมแผ่นดินจีนจากหลายอาณาจักรเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นแผ่นดินเดียว ใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มงวดและเน้นการควบคุมทางการเมืองและการทหาร
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 36 มณฑล (commanderies) และ 1,500 เขต (counties) โดยแต่ละหน่วยมีการบริหารโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง ระบบการจัดการภาษีและทรัพยากรก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
    นโยบายและการปฏิรูป: ฉินฉ Huang ปฏิรูปการบริหารราชการโดยสร้างระบบบังคับใช้กฎหมาย
  • Period: 221 BCE to 206 BCE

    การปกครองของจีน ราชวงศ์ฉิน

    การปกครอง: ราชวงศ์ฉินก่อตั้งโดยฉินฉ Huang (Qin Shi Huang) ซึ่งรวมแผ่นดินจีนจากหลายอาณาจักรเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นแผ่นดินเดียว ใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มงวดและเน้นการควบคุมทางการเมืองและการทหาร
  • 206 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ฮั่น

    การปกครอง ราชวงศ์ฮั่น
    การปกครอง: ราชวงศ์ฮั่นสืบทอดและขยายระบบการปกครองของราชวงศ์ฉิน แต่ได้ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการขงจื๊อที่เน้นความยุติธรรมและการปกครองที่มีเมตตา
    การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 13 มณฑล และเขตการปกครองย่อย (counties) ที่ได้รับการควบคุมจากข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้ง มีการจัดการภาษีและการเก็บรายได้อย่างมีระเบียบ
    การปฏิรูป: ราชวงศ์ฮั่นได้ปฏิรูปการจัดการทรัพยากรและการเก็บภาษี รวมถึงส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการพัฒนาสถานศึกษาและการจัดตั้งหน่วยงานราชการที่มุ่งเน้นการพัฒนาสังคม
  • Period: 206 BCE to 220 BCE

    การปกครอง ราชวงศ์ฮั่น

    การปกครอง: ราชวงศ์ฮั่นสืบทอดและขยายระบบการปกครองของราชวงศ์ฉิน แต่ได้ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการขงจื๊อที่เน้นความยุติธรรมและการปกครองที่มีเมตตา
  • 27 BCE

    การปกครองของจักรวรรดิโรมัน

    การปกครองของจักรวรรดิโรมัน
    จักรพรรดิ:
    เริ่มจากการขึ้นสู่อำนาจของออคตาเวียน (Octavian) หรือออคตาเวียน ออกัสตัส (Augustus) ซึ่งมีอำนาจสูงสุดและทำให้ระบบการปกครองเป็นแบบรวมศูนย์
    จักรพรรดิเป็นหัวหน้าทั้งทางการเมืองและศาสนา
    การบริหาร:
    การจัดตั้งจังหวัด (Provinces) เพื่อควบคุมดินแดนต่าง ๆ
    มีการแต่งตั้งผู้ปกครองจังหวัด (Governors) ที่ทำหน้าที่แทนจักรพรรดิ
    กฎหมายและการเงิน:
    การพัฒนากฎหมายที่เป็นระบบ เช่น กฎหมายโรมัน (Roman Law) ที่ยังมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
    การเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำเงินมาบริหารประเทศ
  • Period: 27 BCE to 476

    การปกครองของจักรวรรดิโรมัน

    เริ่มจากการขึ้นสู่อำนาจของออคตาเวียน (Octavian) หรือออคตาเวียน ออกัสตัส (Augustus) ซึ่งมีอำนาจสูงสุดและทำให้ระบบการปกครองเป็นแบบรวมศูนย์
    จักรพรรดิเป็นหัวหน้าทั้งทางการเมืองและศาสนา
    การบริหาร:
    การจัดตั้งจังหวัด (Provinces) เพื่อควบคุมดินแดนต่าง ๆ
    มีการแต่งตั้งผู้ปกครองจังหวัด (Governors) ที่ทำหน้าที่แทนจักรพรรดิ
  • ฮัมมูราบี

    ฮัมมูราบี
    ฮัมมูราบีเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่มีชื่อเสียงจากการจัดทำ "กฎหมายฮัมมูราบี" ซึ่งเป็นชุดกฎหมายที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์กฎหมายโบราณ โดยมีประมาณ 282 มาตรา กฎหมายเหล่านี้ถูกสลักบนหินและมีหลักการที่ชัดเจน เช่น การลงโทษตามความผิดที่เกิดขึ้น (an eye for an eye) ฮัมมูราบียังได้ขยายอาณาเขตและเสริมสร้างความมั่งคั่งของบาบิโลน
  • Period: to

    ฮัมมูราบี

    ฮัมมูราบีเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่มีชื่อเสียงจากการจัดทำ "กฎหมายฮัมมูราบี" ซึ่งเป็นชุดกฎหมายที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์กฎหมายโบราณ โดยมีประมาณ 282 มาตรา กฎหมายเหล่านี้ถูกสลักบนหินและมีหลักการที่ชัดเจน เช่น การลงโทษตามความผิดที่เกิดขึ้น (an eye for an eye) ฮัมมูราบียังได้ขยายอาณาเขตและเสริมสร้างความมั่งคั่งของบาบิโลน
  • Period: to 593

    การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคบาบิโลเนียน

    การปกครองในยุคบาบิโลเนียนมีความสำคัญในด้านการบริหารราชการ การออกกฎหมาย และการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะในช่วงของฮัมมูราบีและเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 การออกกฎหมายและการบริหารราชการที่เข้มงวดช่วยสร้างความเป็นระเบียบและความมั่นคงในอาณาจักร และการขยายอำนาจทำให้บาบิโลนกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญในเมโสโปเตเมีย
  • ซาร์โกนแห่งอักคาด

    ซาร์โกนแห่งอักคาด
    ซาร์โกนเป็นกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิอักคาด ซึ่งเป็นจักรวรรดิแรกในประวัติศาสตร์ที่รวมดินแดนในเมโสโปเตเมียเข้าด้วยกัน ซาร์โกนเริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการในเมืองคิช (Kish) ก่อนจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เขาใช้กลยุทธ์ทางทหารที่มีประสิทธิภาพในการพิชิตเมืองต่างๆ และสร้างระบบการบริหารที่มีความเข้มแข็ง รวมทั้งการพัฒนาการค้าและวัฒนธรรมในภูมิภาค
  • Period: to

    ซาร์โกนแห่งอักคาด

    ซาร์โกนเป็นกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิอักคาด ซึ่งเป็นจักรวรรดิแรกในประวัติศาสตร์ที่รวมดินแดนในเมโสโปเตเมียเข้าด้วยกัน ซาร์โกนเริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการในเมืองคิช (Kish) ก่อนจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เขาใช้กลยุทธ์ทางทหารที่มีประสิทธิภาพในการพิชิตเมืองต่างๆ และสร้างระบบการบริหารที่มีความเข้มแข็ง รวมทั้งการพัฒนาการค้าและวัฒนธรรมในภูมิภาค