-
4500 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยซูเมเรียน
สมัยซูเมเรียน ลักษณะการปกครอง: แต่ละเมืองรัฐมีการปกครองโดยกษัตริย์หรือผู้ปกครองท้องถิ่น ซึ่งมักจะรวมถึงพระเจ้าและนักบวชที่มีอำนาจทางศาสนา -
Period: 4500 BCE to 1900 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยซูเมเรียน
การปกครองและศาสนาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น พระสงฆ์และกษัตริย์มักมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจและบริหารงาน -
3500 BCE
ความเชื่อของเมโสโปเตเมีย
ความเชื่อของเมโสโปเตเมียมีลักษณะเฉพาะและมีระบบความเชื่อที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่สมัยสุเมเรียน ชาวเมโสโปเตเมียเชื่อว่าโลกถูกควบคุมโดยเทพเจ้าหลายองค์ โดยแต่ละเทพมีอำนาจในด้านต่างๆ เช่น เทพเออาชู เป็นเทพแห่งน้ำและความรู้ เทพมาร์ดูคเป็นเทพแห่งการสร้างและปกครอง และเทพอิชทาร์ (Ishtar) เป็นเทพแห่งความรักและสงคราม
ตำนานการสร้าง: หนึ่งในตำนานที่สำคัญคือ "เอนุม่า เอลิช" ซึ่งเล่าถึงการสร้างโลกและมนุษย์จากการต่อสู้ระหว่างเทพ มาร์ดูคได้สร้างมนุษย์จากเลือดของเทพที่ถูกปราบ เพื่อให้เป็นผู้รับใช้เทพเจ้าทั้งหลาย -
Period: 3500 BCE to 2000 BCE
ความเชื่อของเมโสโปเตเมีย
ตำนานการสร้าง: หนึ่งในตำนานที่สำคัญคือ "เอนุม่า เอลิช" ซึ่งเล่าถึงการสร้างโลกและมนุษย์จากการต่อสู้ระหว่างเทพ มาร์ดูคได้สร้างมนุษย์จากเลือดของเทพที่ถูกปราบ เพื่อให้เป็นผู้รับใช้เทพเจ้าทั้งหลาย
ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย: พวกเขาเชื่อว่าโลกหลังความตายไม่เป็นที่น่ายินดี โดยจะมีการลงโทษสำหรับผู้ที่ทำผิดกฎในชีวิต ซึ่งเห็นได้จากการฝังศพและการถวายสิ่งของในหลุมฝังศพการเชื่อมโยงกับการเกษตร: เทพเจ้าเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ชาวเมโสโปเตเมียใช้ความเชื่อนี้ในการเกษตร การบูชาฤดูกาลต่างๆ เช่น การเก็บเกี่ยว -
3100 BCE
การปกครองของอียิปต์โบราณ
การปกครอง: อียิปต์โบราณปกครองโดยฟาโรห์ที่เป็นทั้งหัวหน้ารัฐและศาสนา ฟาโรห์ถือเป็นเทพเจ้าและผู้ปกครองสูงสุด มีระบบราชการที่ซับซ้อนและมีเจ้าหน้าที่ที่ช่วยในการบริหารจัดการดินแดน -
3100 BCE
พิธีกรรมและการบูชาของอียิปต์
การบูชาเทพเจ้ามักจัดขึ้นในวัดที่สำคัญ เช่น วัด Karnak และ Luxor: การถวาย: จะมีการถวายอาหาร เครื่องดื่ม ของมีค่า เช่น ทองคำ และเครื่องประดับ เพื่อสร้างความพอใจแก่เทพเจ้า
เทศกาลต่างๆ: เช่น เทศกาล Osiris ซึ่งเฉลิมฉลองการฟื้นคืนชีพของเทพออสซิริส และการเก็บเกี่ยว -
3100 BCE
ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของอียิปต์
ชาวอียิปต์เชื่อในชีวิตหลังความตายอย่างแน่นแฟ้น การฝังศพและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญมาก: มัมมี่: การทำมัมมี่เพื่อรักษาร่างกายสำหรับชีวิตหลังความตาย โดยจะต้องมีการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดี
หนังสือแห่งความตาย (Book of the Dead): เป็นคัมภีร์ที่มีคำอธิษฐานและบทสวดที่ช่วยแนะนำผู้ตายในโลกหลังความตาย โดยมีการวางไว้ในหลุมฝังศพ -
3100 BCE
ความเชื่อของอียิปต์
เทพเจ้าและความเชื่อทางศาสนา
รา (Ra): เทพแห่งดวงอาทิตย์ ถือเป็นเทพสูงสุด เชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลกและเดินทางในท้องฟ้าโดยเรือแต่ละวัน
ออสซิริส (Osiris): เทพแห่งความตายและการฟื้นคืนชีพ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเก็บเกี่ยว โดยมักถูกวาดภาพในลักษณะของผู้ชายที่มีสีเขียว
อิสซิส (Isis): เทพีแห่งความรักและเวทมนตร์ มีบทบาทในการรักษาชีวิตของมนุษย์และการฟื้นคืนชีวิตให้กับออสซิริส
ฮอรัส (Horus): เทพแห่งท้องฟ้าและการปกครอง เชื่อว่าเป็นบุตรของออสซิริสและอิสซิส มักแสดงในรูปของนกอินทรี -
Period: 3100 BCE to 332 BCE
การปกครองของอียิปต์โบราณ
ฟาโรห์: เป็นผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและศาสนา ฟาโรห์ถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าและถือเป็นผู้ปกครองเหนือสุดของรัฐ
ข้าราชการและบัณฑิต: มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการราชการและทรัพย์สินของรัฐ -
Period: 3100 BCE to 30 BCE
พิธีกรรมและการบูชาของอียิปต์
การบูชาเทพเจ้ามักจัดขึ้นในวัดที่สำคัญ เช่น วัด Karnak และ Luxor: การถวาย: จะมีการถวายอาหาร เครื่องดื่ม ของมีค่า เช่น ทองคำ และเครื่องประดับ เพื่อสร้างความพอใจแก่เทพเจ้า
เทศกาลต่างๆ: เช่น เทศกาล Osiris ซึ่งเฉลิมฉลองการฟื้นคืนชีพของเทพออสซิริส และการเก็บเกี่ยว -
Period: 3100 BCE to 30 BCE
ความเชื่อของอียิปต์
เทพเจ้าและความเชื่อทางศาสนา
รา (Ra): เทพแห่งดวงอาทิตย์ ถือเป็นเทพสูงสุด เชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลกและเดินทางในท้องฟ้าโดยเรือแต่ละวัน
ออสซิริส (Osiris): เทพแห่งความตายและการฟื้นคืนชีพ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเก็บเกี่ยว โดยมักถูกวาดภาพในลักษณะของผู้ชายที่มีสีเขียว
อิสซิส (Isis): เทพีแห่งความรักและเวทมนตร์ มีบทบาทในการรักษาชีวิตของมนุษย์และการฟื้นคืนชีวิตให้กับออสซิริส
ฮอรัส (Horus): เทพแห่งท้องฟ้าและการปกครอง เชื่อว่าเป็นบุตรของออสซิริสและอิสซิส มักแสดงในรูปของนกอินทรี -
Period: 3100 BCE to 30 BCE
ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของอียิปต์
ชาวอียิปต์เชื่อในชีวิตหลังความตายอย่างแน่นแฟ้น การฝังศพและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญมาก: มัมมี่: การทำมัมมี่เพื่อรักษาร่างกายสำหรับชีวิตหลังความตาย โดยจะต้องมีการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดี
หนังสือแห่งความตาย (Book of the Dead): เป็นคัมภีร์ที่มีคำอธิษฐานและบทสวดที่ช่วยแนะนำผู้ตายในโลกหลังความตาย โดยมีการวางไว้ในหลุมฝังศพ -
2334 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียสมัยยุคอาคาเดียน
ซาร์กอนและผู้สืบทอดของเขาได้จัดระเบียบการปกครองให้เป็นการรวมศูนย์ โดยการตั้งศูนย์การปกครองที่เมืองอาคาด ซึ่งทำให้การบริหารราชการและการควบคุมพื้นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น -
Period: 2334 BCE to 2154 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอาคาเดียน
การปกครองในอาคาเดียนมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กษัตริย์และศูนย์กลางการปกครองที่เมืองอาคาด การจัดระเบียบการบริหารแบบรวมศูนย์ทำให้การควบคุมและการบริหารราชการมีประสิทธิภาพ
ซาร์กอนและผู้สืบทอดมีการตั้งผู้ว่าการ (Governor) และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการควบคุมภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้การปกครองดำเนินไปอย่างราบรื่น -
2000 BCE
การปกครองของมายา
อารยธรรมมายาเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอเมริกากลาง โดยเฉพาะในภูมิภาคเมโซอเมริกา ซึ่งมีการพัฒนาในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงเวลาเกือบ 3,000 ปี ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1500 คริสต์ศักราช ระบบการปกครองของมายามีความซับซ้อน มีโครงสร้างทางสังคมที่ชัดเจน และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน -
Period: 2000 BCE to 1500
การปกครองของมายา
อารยธรรมมายาเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอเมริกากลาง โดยเฉพาะในภูมิภาคเมโซอเมริกา ซึ่งมีการพัฒนาในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงเวลาเกือบ 3,000 ปี ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1500 คริสต์ศักราช ระบบการปกครองของมายามีความซับซ้อน มีโครงสร้างทางสังคมที่ชัดเจน และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน -
1894 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคบาบิโลเนียน
การปกครองในยุคบาบิโลเนียนมีการพัฒนาทั้งในด้านการบริหารราชการและการออกกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของฮัมมูราบีและเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมโสโปเตเมีย ระบบกฎหมายและการบริหารราชการที่เข้มงวดมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาณาจักรและผลักดันการพัฒนาเมืองอย่างมีระเบียบ -
1894 BCE
การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนต้น
ยุคนี้เริ่มต้นด้วยการครองราชย์ของกษัตริย์ที่สำคัญเช่น ซัมซู-อิลูนา ซึ่งเป็นกษัตริย์รุ่นที่สองของราชวงศ์บาบิโลเนียน โดยการปกครองของเขาและผู้สืบทอดสืบเนื่องจากการครองราชย์ของฮัมมูราบี
ฮัมมูราบี ขึ้นครองราชย์ในปี 1792 ปีก่อนคริสตกาล โดยการปกครองของเขาทำให้บาบิโลนกลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจสำคัญในเมโสโปเตเมีย -
Period: 1894 BCE to 1595 BCE
การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนต้น
การบริหารท้องถิ่นถูกดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง ซึ่งรับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีและการบังคับใช้กฎหมาย -
Period: 1715 BCE to 642 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของอิสลาม
อียิปต์ถูกปกครองโดยอาณาจักรฟาติมีด, อาณาจักรมามลุก, และอาณาจักรออตโตมันในช่วงนี้
การปกครองตามกฎหมายอิสลาม: การปกครองดำเนินการตามหลักการของกฎหมายอิสลาม -
1644 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ชิง
การปกครอง: ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งโดยแมนจู ซึ่งมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและรักษาระบบราชการแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งควบคุมและปกครองด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 18 มณฑลใหญ่ (provinces) ซึ่งมีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง การจัดการระบบภาษีและทรัพยากรได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
การปฏิรูป: ราชวงศ์ชิงได้พัฒนาระบบการบริหารที่มีความยืดหยุ่นและการควบคุมทรัพยากรที่มีระเบียบ มีการจัดการด้านการทหารและการปกครองที่เข้มงวด -
Period: 1644 BCE to 1912 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ชิง
การปกครอง: ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งโดยแมนจู ซึ่งมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและรักษาระบบราชการแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งควบคุมและปกครองด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพ -
1595 BCE
การกปครองยุคบาบิโลเนียนตอนกลาง
ารฟื้นฟูอาณาจักร:
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮัมมูราบี บาบิโลนได้รับการฟื้นฟูโดยกษัตริย์ใหม่ เช่น การปกครองของราชวงศ์ที่ต่อมาทำให้บาบิโลนฟื้นฟูขึ้นใหม่
การบริหารราชการ:
การปกครองยังคงมีลักษณะของเมือง-รัฐและมีการจัดระเบียบการบริหารที่ดีขึ้น รวมถึงการจัดเก็บภาษีและการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน -
Period: 1595 BCE to 1155 BCE
การปกครองยุคบาบิโลเนียนตอนกลาง
หลังจากความรุ่งเรืองในช่วงปกครองของฮัมมูราบี อาณาจักรบาบิโลนเผชิญกับการโจมตีจากภายนอกและความขัดแย้งภายในที่นำไปสู่การล่มสลาย -
1517 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของอิสลาม
การปกครอง: อียิปต์ถูกปกครองโดยอาณาจักรอิสลามหลายแห่ง รวมถึงอาณาจักรฟาติมีด, อาณาจักรมามลุก, และอาณาจักรออตโตมัน ในแต่ละยุค การปกครองจะเปลี่ยนแปลงตามลำดับของผู้ปกครองแต่ละกลุ่มการปกครองดำเนินการตามหลักการของกฎหมายอิสลาม -
1500 BCE
ความเชื่อของฮินดู
พระเจ้าหรือเทพเจ้า
ฮินดูมีเทพเจ้าหลายองค์ โดยสำคัญได้แก่: บราห์ม่า (Brahma): เทพเจ้าผู้สร้าง
พระวิษณุ (Vishnu): เทพเจ้าผู้รักษา มีอวตารสำคัญ เช่น รามาและกฤษณะ
พระศิวะ (Shiva): เทพเจ้าผู้ทำลายและฟื้นฟู เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง
2. ศาสนศาสตร์และพระเวท
พระเวท: ประกอบด้วยสี่ชุด ได้แก่ ริกเวท (Rigveda), ยชุรเวท (Yajurveda), สามเวท (Samaveda), และอาธารวเวท (Atharvaveda) ซึ่งประกอบไปด้วยบทสวดและพิธีกรรม
อุปนิษัท: ข้อความที่อธิบายปรัชญาและธรรมชาติของพระเจ้า -
1500 BCE
การปกครองของฮินดูยุคเว็ด
ลักษณะการปกครอง: ในช่วงนี้เป็นยุคที่มีกลุ่มชนเผ่าหรือการปกครองในลักษณะของเผ่า (tribal) โดยมีหัวหน้าเผ่าหรือราชาที่มีอำนาจในชุมชนของตน การปกครองยังไม่ได้เป็นระบบที่เป็นทางการมากนัก แต่มีการใช้การแบ่งแยกตามลำดับชั้นของสังคม (วรรณะ) ที่กำหนดบทบาทของแต่ละกลุ่มในสังคม
ระบบวรรณะ: การแบ่งแยกสังคมออกเป็น 4 วรรณะหลักคือ บราห์มิน (พราหมณ์), ขัตติยะ (ชนชั้นนักรบ), ไวษยะ (พ่อค้าและชาวนา), และ ศูทรา (กรรมกร) ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบสังคมในศาสนาฮินดู -
Period: 1500 BCE to 500 BCE
การปกครองของฮินดูยุคเว็ด
การปกครองมักจะเป็นรูปแบบของชนเผ่าหรือการปกครองแบบราชาธิปไตย โดยมีราชาหรือหัวหน้าเผ่าเป็นผู้ปกครอง มีการจัดระเบียบสังคมตามระบบวรรณะ. -
Period: 1500 BCE to
ความเชื่อของฮินดู
แนวคิดเรื่องกรรมและการเกิดใหม่
กรรม (Karma): เชื่อว่าการกระทำในชีวิตนี้จะส่งผลต่อชีวิตในอนาคต
การเกิดใหม่ (Reincarnation): วิญญาณจะเกิดใหม่ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับกรรมในชีวิตก่อนหน้า
4. หลักธรรม
ดาร์มา (Dharma): หมายถึงหน้าที่หรือวิถีทางที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่างกันไปตามสถานะและอายุ
โมกษะ : การหลุดพ้นจากวงจรการเกิดใหม่ ถือเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต
5. พิธีกรรมและเทศกาล
พิธีทางศาสนา: รวมถึงการสวดมนต์ การบูชารูปเคารพ และการทำบุญ
เทศกาล: เช่น ดิวาลี ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่าง และฮอลี เทศกาลแห่งสีสัน -
1368 BCE
การปกครอง ราชวงศ์หมิง
การปกครอง: ราชวงศ์หมิงมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมุ่งเน้นการปกครองที่เข้มงวด มีการปรับปรุงระบบการบริหารให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 13 มณฑลใหญ่ (provinces) ซึ่งมีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง มีการจัดเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรอย่างมีระเบียบ
การปฏิรูป: ราชวงศ์หมิงได้ปฏิรูประบบการทหาร การจัดการภาษีและการจัดการทรัพยากร รวมถึงการส่งเสริมศิลปะและวรรณกรรม -
Period: 1368 BCE to 1644 BCE
การปกครอง ราชวงศ์หมิง
การปกครอง: ราชวงศ์หมิงมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมุ่งเน้นการปกครองที่เข้มงวด มีการปรับปรุงระบบการบริหารให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ -
1271 BCE
การปกครอง ราชวงศ์หยวน
การปกครอง: ราชวงศ์หยวนก่อตั้งโดยมองโกลภายใต้การปกครองของ Kublai Khan มีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและแบ่งแผ่นดินออกเป็นหลายเขตการปกครอง
การจัดการ: ระบบการปกครองแบ่งออกเป็น 13 เขตการปกครองหลัก (provinces) ซึ่งมีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง มีการจัดการระบบภาษีและการควบคุมทรัพยากรอย่างเข้มงวด
การปฏิรูป: ราชวงศ์หยวนมุ่งเน้นการบริหารที่มีระเบียบและการควบคุมของมองโกลในแผ่นดิน มีการพัฒนาโครงสร้างทางการทหารและการบริหารที่สอดคล้องกับการปกครองของมองโกล -
Period: 1271 BCE to 1368 BCE
การปกครอง ราชวงศ์หยวน
การปกครอง: ราชวงศ์หยวนก่อตั้งโดยมองโกลภายใต้การปกครองของ Kublai Khan มีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและแบ่งแผ่นดินออกเป็นหลายเขตการปกครอง -
1000 BCE
ความเชื่อของกรีก ลัทธิเทพเจ้ากรีก
ซูส (Zeus): เทพเจ้าที่สูงสุด เป็นเทพแห่งฟ้าและฟ้าผ่า ประมาณ ค.ศ. 1000–400 ก่อนคริสต์ศักราช
เฮร่า (Hera): เทพีแห่งการแต่งงานและครอบครัว ภรรยาของซูส
โปเซดอน (Poseidon): เทพแห่งท้องทะเล รับผิดชอบในการสร้างพายุและแผ่นดินไหว
อาธีน่า (Athena): เทพีแห่งปัญญา, สงคราม และงานฝีมือ โดยเกิดจากศีรษะของซูส
อาพอโล (Apollo): เทพแห่งดนตรี, กวี, และการพยากรณ์
อาร์เทมิส (Artemis): เทพีแห่งการล่าสัตว์และความบริสุทธิ์
อาเรส (Ares): เทพแห่งสงคราม ซึ่งมีความขัดแย้งกับเทพอื่น ๆ -
Period: 1000 BCE to 400 BCE
ความเชื่อของกรีก ลัทธิเทพเจ้ากรีก
ซูส (Zeus): เทพเจ้าที่สูงสุด เป็นเทพแห่งฟ้าและฟ้าผ่า ประมาณ ค.ศ. 1000–400 ก่อนคริสต์ศักราช
เฮร่า (Hera): เทพีแห่งการแต่งงานและครอบครัว ภรรยาของซูส
โปเซดอน (Poseidon): เทพแห่งท้องทะเล รับผิดชอบในการสร้างพายุและแผ่นดินไหว
อาธีน่า (Athena): เทพีแห่งปัญญา, สงคราม และงานฝีมือ โดยเกิดจากศีรษะของซูส
อาพอโล (Apollo): เทพแห่งดนตรี, กวี, และการพยากรณ์
อาร์เทมิส (Artemis): เทพีแห่งการล่าสัตว์และความบริสุทธิ์
อาเรส (Ares): เทพแห่งสงคราม ซึ่งมีความขัดแย้งกับเทพอื่น ๆ -
960 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ซ่ง
การปกครอง: ราชวงศ์ซ่งมุ่งเน้นการปกครองที่มีประสิทธิภาพและการบริหารที่เป็นระเบียบ มีการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการพัฒนาสังคมและการศึกษา
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็นมณฑลและเขตการปกครองที่มีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง การจัดการภาษีและการควบคุมทรัพยากรได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
การปฏิรูป: ราชวงศ์ซ่งได้ปฏิรูประบบการจัดการภาษีและทรัพยากร การจัดตั้งระบบทหารที่มีความสามารถสูง และการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเทคโนโลยี -
Period: 960 BCE to 1279 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ซ่ง
การปกครอง: ราชวงศ์ซ่งมุ่งเน้นการปกครองที่มีประสิทธิภาพและการบริหารที่เป็นระเบียบ มีการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการพัฒนาสังคมและการศึกษา
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็นมณฑลและเขตการปกครองที่มีการจัดการโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง การจัดการภาษีและการควบคุมทรัพยากรได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
การปฏิรูป: ราชวงศ์ซ่งได้ปฏิรูประบบการจัดการภาษีและทรัพยากร การจัดตั้งระบบทหารที่มีความสามารถสูง และการส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเทคโนโลยี -
900 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอัสซีเรียน
พระมหากษัตริย์มีการควบคุมโดยตรงต่อกิจการทางการปกครองและทหาร รวมถึงการมีระบบราชการที่ซับซ้อน
การปกครองของอัสซีเรียนเน้นการควบคุมที่เข้มงวดและมีการจัดระเบียบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้อาณาจักรสามารถขยายและรักษาอำนาจในดินแดนที่กว้างขวางได้. รัฐอัสซีเรียนเป็นรัฐราชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดและถือว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า พระมหากษัตริย์อัสซีเรียนได้รับการเชิดชูและมีอำนาจทางการเมือง การทหาร และศาสนาอย่างเต็มที่ -
Period: 900 BCE to 612 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคอัสซีเรียน
การปกครองในยุคอัสซีเรียนมีการรวมศาสนาเข้ากับการปกครอง เช่น การสร้างวิหารและการสนับสนุนศาสนาเพื่อลงโทษประชาชน รัฐอัสซีเรียนเป็นรัฐราชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุดและถือว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า พระมหากษัตริย์อัสซีเรียนได้รับการเชิดชูและมีอำนาจทางการเมือง การทหาร และศาสนาอย่างเต็มที่ -
800 BCE
การปกครองของกรีกโบราณ ยุคโฮเมอริค
ลักษณะการปกครอง: ในยุคนี้การปกครองเป็นรูปแบบของการปกครองที่มีกษัตริย์ (monarchies) เช่นที่เมืองรัฐไมซีนี (Mycenae) ซึ่งการปกครองอยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุด
โครงสร้าง: กษัตริย์จะเป็นผู้นำทางการเมืองและทหาร รวมทั้งมีบทบาทในการปกครองดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุม มีข้าราชการและผู้ช่วยในระดับท้องถิ่น -
Period: 800 BCE to 500 BCE
การปกครองของกรีก ยุคโฮเมอริค
ในช่วงเวลานี้ การปกครองส่วนใหญ่ยังคงเป็นลักษณะของราชาธิปไตยที่มีลักษณะเฉพาะของเมืองหรือเผ่า โดยกษัตริย์มักจะมีอำนาจสูงสุดในด้านการเมืองและทหาร
กษัตริย์มักมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากร การตัดสินคดี และการทำสงคราม รวมถึงการเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนา
การจัดการ:
มีข้าราชการและผู้ช่วยในระดับท้องถิ่นที่ช่วยในการบริหารจัดการ ภายใต้กษัตริย์ที่เป็นผู้นำสูงสุด
การปกครองมักเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีและบทบาททางสังคมที่กำหนดโดยกษัตริย์ -
753 BCE
การปกครองของโรมัน ราชาธิปไตย
ราชา: ผู้นำสูงสุดของรัฐโรมที่มีอำนาจทางการเมือง, ทหาร, และศาสนา ราชาจะมีอำนาจในการจัดการศาล, กฎหมาย, และการทูต การเลือกตั้งราชามักจะมาจากชนชั้นสูงของโรม
ซินิเซอร์ : เป็นสภาที่ประกอบด้วยชนชั้นสูงจากตระกูลต่าง ๆ ซึ่งให้คำปรึกษาแก่ราชาและช่วยในการตัดสินใจ
คอมิทีอา คูเรียตา : เป็นการประชุมที่รวมสมาชิกของชนชั้นสูง เพื่อให้การรับรองการตัดสินใจของราชา เช่น การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่หรือการประกาศสงคราม
การปกครองในช่วงนี้: การปกครองภายใต้ระบบราชาธิปไตยมีลักษณะเป็นศูนย์กลางการบริหารและอำนาจรวมอยู่ที่ราชา -
Period: 753 BCE to 509 BCE
การปกครองของโรมัน ราชาธิปไตย
ราชา (Rex): ผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและทหาร ราชาได้รับการแต่งตั้งโดยชนชั้นสูงและมีบทบาทในด้านศาสนา
ซินิเซอร์ (Senate): คณะกรรมการที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชนชั้นสูงของโรมัน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ราชา
คอมิทีอา คูเรียตา (Comitia Curiata): การประชุมของชนชั้นสูงที่ทำหน้าที่ในการให้การรับรองกฎหมายและการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ -
642 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของไบเซนไทน์
จักรวรรดิโรมตะวันออก (ไบเซนไทน์): อียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมตะวันออก มีการปกครองแบบจักรวรรดิ
ผู้ปกครองระดับภูมิภาค: มีการจัดตั้งผู้ปกครองระดับภูมิภาคเพื่อดูแลและบริหาร -
Period: 642 BCE to 395 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของไบเซนไทน์
การปกครอง: อียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมตะวันออก (ไบเซนไทน์) การปกครองจัดอยู่ในระบบของจักรวรรดิโรมตะวันออก มีการจัดตั้งผู้ปกครองระดับสูงเพื่อดูแลพื้นที่ -
626 BCE
การปกครองยุคบาบิโลเนียนใหม่
การบริหารราชการในยุคนี้มีความเข้มงวดและมีการจัดระเบียบที่ดีขึ้น มีการจัดการการปกครองท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดเก็บภาษีและการควบคุม: ระบบการเก็บภาษีและการควบคุมการค้าขายถูกจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อสนับสนุนการบริหารของรัฐ
การปกครองท้องถิ่น:
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับการแต่งตั้งเพื่อดูแลการปกครองแต่ละภูมิภาค และรายงานไปยังศูนย์กลางการปกครองที่เมืองบาบิโลน -
626 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคใหม่บาบิโลน
พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีบทบาททั้งในด้านการเมืองและศาสนา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในเรื่องนี้
ข้าราชการ: ข้าราชการระดับสูงและผู้ปกครองจังหวัดเป็นผู้ช่วยในการบริหารจัดการภายในอาณาจักร บทบาทของพวกเขาคือการจัดการภาษี การทหาร และการดูแลประชาชน
ระบบกฎหมาย: มีการใช้กฎหมายที่เข้มงวดเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินและการค้า -
Period: 626 BCE to 539 BCE
การปกครองยุคบาบิโลเนียนใหม่
การบริหารราชการในยุคนี้มีความเข้มงวดและมีการจัดระเบียบที่ดีขึ้น มีการจัดการการปกครองท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดเก็บภาษีและการควบคุม: ระบบการเก็บภาษีและการควบคุมการค้าขายถูกจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อสนับสนุนการบริหารของรัฐ -
Period: 626 BCE to 539 BCE
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคใหม่บาบิโลน
การปกครองในยุคนี้เน้นการรวมศูนย์อำนาจและการพัฒนาสิ่งปลูกสร้างเพื่อยกระดับฐานะของเมืองบาบิโลนให้เป็นศูนย์กลางของโลกโบราณ. -
618 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ถัง
การปกครอง: ราชวงศ์ถังมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ โดยมีระบบการบริหารที่เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ การปกครองยังอิงตามหลักขงจื๊อ แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมือง
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 10 มณฑลใหญ่ ซึ่งมีการจัดการโดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์กลางและข้าราชการท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้ง มีการพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรและภาษีที่มีประสิทธิภาพ
การปฏิรูป: ราชวงศ์ถังได้ปฏิรูประบบการทหาร การจัดการและการบริหารเพื่อเพิ่มความสามารถในการควบคุมและการปกครอง โดยเน้นการส่งเสริมวรรณกรรมและศิลปะ -
Period: 618 BCE to 907 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ถัง
การปกครอง: ราชวงศ์ถังมีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ โดยมีระบบการบริหารที่เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ การปกครองยังอิงตามหลักขงจื๊อ แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมือง -
604 BCE
ความเชื่อของจีน ลัทธิเต๋า
ประวัติ: ก่อตั้งโดยลาวจื๊อ (Laozi) ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 604–531 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
หลักการสำคัญ: เต๋า (Tao), การไม่ทำ (Wu Wei), การเข้าถึงความอมตะ
อิทธิพล: ส่งผลต่อศิลปะ วรรณกรรม และการแพทย์แบบจีน -
Period: 604 BCE to 531 BCE
ความเชื่อของจีน ลัทธิเต๋า
ประวัติ: ก่อตั้งโดยลาวจื๊อ (Laozi) ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 604–531 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
หลักการสำคัญ: เต๋า (Tao), การไม่ทำ (Wu Wei), การเข้าถึงความอมตะ
อิทธิพล: ส่งผลต่อศิลปะ วรรณกรรม และการแพทย์แบบจีน -
551 BCE
ความเชื่อของจีน ลัทธิขงจื๊อ
ประวัติ: ก่อตั้งโดยขงจื๊อ (Kong Fuzi) ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 551–479 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
หลักการสำคัญ: ความรักระหว่างมนุษย์, คุณธรรม, การปกครองที่ดี
อิทธิพล: มีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบการศึกษาและการปกครอง -
Period: 551 BCE to 479 BCE
ความเชื่อของจีน ลัทธิขงจื๊อ
ประวัติ: ก่อตั้งโดยขงจื๊อ (Kong Fuzi) ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 551–479 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
หลักการสำคัญ: ความรักระหว่างมนุษย์, คุณธรรม, การปกครองที่ดี
อิทธิพล: มีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบการศึกษาและการปกครอง -
550 BCE
การปกครองของฮินดู อาณาจักรกุปตะ
การปกครอง: เป็นการปกครองที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจและมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ โดยกษัตริย์เช่นพระเจ้าจันทรากุปตะ (Chandragupta I) และพระเจ้าสัมุทรกุปตะ (Samudragupta) มีความสามารถในการบริหารและขยายอาณาจักรออกไป
ระบบการบริหาร: มีระบบราชการที่จัดการอย่างเป็นระเบียบและแบ่งออกเป็นหลายภูมิภาค มีการจัดการภาษีและการจัดเก็บทรัพยากรที่ดีเยี่ยม พร้อมทั้งการสนับสนุนศิลปะและวรรณกรรม -
Period: 550 BCE to 320 BCE
การปกครองของฮินดู อาณาจักรกุปตะ
การปกครอง: เป็นการปกครองที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจและมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ โดยกษัตริย์เช่นพระเจ้าจันทรากุปตะ (Chandragupta I) และพระเจ้าสัมุทรกุปตะ (Samudragupta) มีความสามารถในการบริหารและขยายอาณาจักรออกไป -
509 BCE
การปกครองของสาธารณรัฐโรมัน
โครงสร้างการปกครอง:
สภาซีนาท เป็นสภาที่มีอำนาจสูงสุด ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชนชั้นสูงหรือขุนนาง โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองและพิจารณากฎหมาย
ผู้บริหาร : มีสองคนที่ได้รับเลือกทุกปี ทำหน้าที่บริหารและเป็นผู้นำทัพในสงคราม
ผู้พิพากษา : มีหน้าที่ดูแลการพิพากษาและการปกครองทางกฎหมาย
ประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและการลงคะแนนเสียงในกฎหมายลักษณะการปกครอง:
การแบ่งแยกอำนาจเพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมศูนย์อำนาจ
การขยายดินแดนผ่านการพิชิตและการทำสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน -
Period: 509 BCE to 27 BCE
การปกครองของสาธารณรัฐโรมัน
ลักษณะการปกครอง:
การแบ่งแยกอำนาจเพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมศูนย์อำนาจ
การขยายดินแดนผ่านการพิชิตและการทำสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน -
508 BCE
การปกครองของกรีกโบราณยุค กรุงเอเธนส์
ประชาธิปไตยโดยตรง : กรุงเอเธนส์เป็นที่รู้จักในฐานะเป็นต้นแบบของประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่งประชาชนมีสิทธิเข้าร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ของรัฐโดยตรง ไม่ผ่านตัวแทน
เอเคลเซีย สภาประชาชนที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ เพื่อทำการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ
บูลีคณะกรรมการที่ประกอบด้วย 500 สมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งจาก 10 ตระกูลหลัก ๆ ซึ่งมีหน้าที่เตรียมวาระการประชุมให้กับเอเคลเซีย
เฮลิเซีย ศาลประชาชนที่ตัดสินคดีทางกฎหมาย โดยสมาชิกจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
อาร์คอน เจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด -
Period: 508 BCE to 322 BCE
การปกครองของกรีกโบราณยุค กรุงเอเธนส์
ประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy) เอเคลเซีย (Ekklesia): เป็นสภาประชาชนที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมและมีเสียงในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของรัฐ เช่น กฎหมาย, นโยบายต่างประเทศ, และการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง การประชุมของเอเคลเซียจะจัดขึ้นทุก 9 วัน และการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ จะเป็นไปตามเสียงข้างมาก -
500 BCE
การปกครองยุค สปาร์ตา
การปกครองแบบราชาธิปไตยร่วมกับสถาบันกฎหมาย:
สองกษัตริย์ (Dual Kingship): สปาร์ตามีสองกษัตริย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางทหารและมีบทบาทในเรื่องศาสนา
ซีนีทรี (Gerousia): สภาอาวุโสที่ประกอบด้วย 28 สมาชิกอายุเกิน 60 ปีและสองกษัตริย์ มีหน้าที่แนะนำและตรวจสอบการตัดสินใจ
อีฟอรานส์ (Ephors): คณะกรรมการที่มีห้าคน ทำหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของกษัตริย์
อากอร์า (Apella): สภาประชาชนที่มีการประชุมทุกปีเพื่อหารือเกี่ยวกับการตัดสินใจที่สำคัญ -
Period: 500 BCE to 371 BCE
การปกครองยุค สปาร์ตา
สองกษัตริย์ (Dual Kingship): สปาร์ตามีสองกษัตริย์ที่มาจากตระกูลอาหลิด (Agiad) และอีบิทิด (Eurypontid) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำทางทหารและมีบทบาทในศาสนา กษัตริย์ทั้งสองทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารในระหว่างสงคราม และมีอำนาจในบางเรื่องทางศาสนา
ซีนีทรี (Gerousia): สภาอาวุโสที่ประกอบด้วย 28 สมาชิกที่มีอายุเกิน 60 ปีและสองกษัตริย์ รวมทั้งหมด 30 คน Gerousia มีหน้าที่เสนอและปรึกษาหารือเกี่ยวกับนโยบายสำคัญ รวมถึงการพิจารณาคดีที่มีความสำคัญสูง
อีฟอรานส์ (Ephors): คณะกรรมการที่มีห้าคนที่ได้รับการเลือกตั้ง -
460 BCE
ความเชื่อของกรีก วิทยาศาสตร์และการแพทย์
ฮิปโปเครตีส (Hippocrates):
ประมาณ ค.ศ. 460–370 ก่อนคริสต์ศักราช เรียกได้ว่าเป็น "บิดาแห่งการแพทย์"
หลักการ: การสังเกตอาการและการรักษาอย่างมีระเบียบ -
Period: 460 BCE to 370 BCE
ความเชื่อของกรีก วิทยาศาสตร์และการแพทย์
ฮิปโปเครตีส (Hippocrates):
ประมาณ ค.ศ. 460–370 ก่อนคริสต์ศักราช เรียกได้ว่าเป็น "บิดาแห่งการแพทย์"
หลักการ: การสังเกตอาการและการรักษาอย่างมีระเบียบ -
395 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของโรม
การปกครอง: อียิปต์เป็นจังหวัดของจักรวรรดิโรม ซึ่งมีผู้ว่าการจังหวัดที่แต่งตั้งโดยจักรพรรดิ การปกครองถูกบริหารโดยจักรวรรดิโรมผ่านระบบราชการที่จัดตั้งไว้ การปกครองเน้นการเก็บภาษีและควบคุมทรัพยากร มีระบบราชการที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการบริหาร -
Period: 395 BCE to 30 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของโรม
อียิปต์ถูกจัดเป็นจังหวัดของจักรวรรดิโรม มีผู้ว่าการจังหวัดที่แต่งตั้งโดยจักรพรรดิ -
332 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของกรีก
ราชวงศ์ปโตเลไมอิด: ก่อตั้งโดยปโตเลมีที่ 1 หลังจากการพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช การปกครองมีความเป็นกรีกและผสมผสานวัฒนธรรมกรีกและอียิปต์
ฟาโรห์ปโตเลไมอิด: ฟาโรห์จากราชวงศ์ปโตเลไมอิดเป็นผู้ปกครองและรักษาความสัมพันธ์กับทั้งชาวกรีกและชาวอียิปต์ -
Period: 332 BCE to 30 BCE
อียิปต์ภายใต้การปกครองของกรีก
การปกครอง: หลังจากการพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช อียิปต์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปโตเลไมอิดซึ่งเป็นของกรีก คเลโอพัตราเป็นหนึ่งในฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ ก่อนที่อียิปต์จะถูกผนวกเป็นจังหวัดของโรม -
Period: 332 BCE to 185 BCE
การปกครองของฮินดูยุคมหายุค อาณาจักรโมริยะ
การปกครอง: อาณาจักรโมริยะเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมีระเบียบแบบแผน โดยกษัตริย์พระเจ้าอโศกมหาราช (Ashoka) เป็นผู้ปกครองที่สำคัญในช่วงปลายของอาณาจักร มีการบริหารจัดการที่มีระเบียบ และมีการส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างมาก
ระบบการบริหาร: มีการแบ่งแยกภาคส่วนการบริหารอย่างชัดเจน พร้อมทั้งการมีเจ้าหน้าที่บริหารในแต่ละภูมิภาคเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย -
322 BCE
การปกครองของฮินดูยุคมหายุค อาณาจักรโมริยะ
การปกครอง: อาณาจักรโมริยะเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจและมีระเบียบแบบแผน โดยกษัตริย์พระเจ้าอโศกมหาราช (Ashoka) เป็นผู้ปกครองที่สำคัญในช่วงปลายของอาณาจักร มีการบริหารจัดการที่มีระเบียบ และมีการส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างมาก
ระบบการบริหาร: มีการแบ่งแยกภาคส่วนการบริหารอย่างชัดเจน พร้อมทั้งการมีเจ้าหน้าที่บริหารในแต่ละภูมิภาคเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย -
221 BCE
การปกครองของจีน ราชวงศ์ฉิน
การปกครอง: ราชวงศ์ฉินก่อตั้งโดยฉินฉ Huang (Qin Shi Huang) ซึ่งรวมแผ่นดินจีนจากหลายอาณาจักรเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นแผ่นดินเดียว ใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มงวดและเน้นการควบคุมทางการเมืองและการทหาร
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 36 มณฑล (commanderies) และ 1,500 เขต (counties) โดยแต่ละหน่วยมีการบริหารโดยข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง ระบบการจัดการภาษีและทรัพยากรก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
นโยบายและการปฏิรูป: ฉินฉ Huang ปฏิรูปการบริหารราชการโดยสร้างระบบบังคับใช้กฎหมาย -
Period: 221 BCE to 206 BCE
การปกครองของจีน ราชวงศ์ฉิน
การปกครอง: ราชวงศ์ฉินก่อตั้งโดยฉินฉ Huang (Qin Shi Huang) ซึ่งรวมแผ่นดินจีนจากหลายอาณาจักรเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นแผ่นดินเดียว ใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มงวดและเน้นการควบคุมทางการเมืองและการทหาร -
206 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ฮั่น
การปกครอง: ราชวงศ์ฮั่นสืบทอดและขยายระบบการปกครองของราชวงศ์ฉิน แต่ได้ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการขงจื๊อที่เน้นความยุติธรรมและการปกครองที่มีเมตตา
การจัดการ: แบ่งแผ่นดินออกเป็น 13 มณฑล และเขตการปกครองย่อย (counties) ที่ได้รับการควบคุมจากข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้ง มีการจัดการภาษีและการเก็บรายได้อย่างมีระเบียบ
การปฏิรูป: ราชวงศ์ฮั่นได้ปฏิรูปการจัดการทรัพยากรและการเก็บภาษี รวมถึงส่งเสริมการค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการพัฒนาสถานศึกษาและการจัดตั้งหน่วยงานราชการที่มุ่งเน้นการพัฒนาสังคม -
Period: 206 BCE to 220 BCE
การปกครอง ราชวงศ์ฮั่น
การปกครอง: ราชวงศ์ฮั่นสืบทอดและขยายระบบการปกครองของราชวงศ์ฉิน แต่ได้ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการขงจื๊อที่เน้นความยุติธรรมและการปกครองที่มีเมตตา -
27 BCE
การปกครองของจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิ:
เริ่มจากการขึ้นสู่อำนาจของออคตาเวียน (Octavian) หรือออคตาเวียน ออกัสตัส (Augustus) ซึ่งมีอำนาจสูงสุดและทำให้ระบบการปกครองเป็นแบบรวมศูนย์
จักรพรรดิเป็นหัวหน้าทั้งทางการเมืองและศาสนา
การบริหาร:
การจัดตั้งจังหวัด (Provinces) เพื่อควบคุมดินแดนต่าง ๆ
มีการแต่งตั้งผู้ปกครองจังหวัด (Governors) ที่ทำหน้าที่แทนจักรพรรดิ
กฎหมายและการเงิน:
การพัฒนากฎหมายที่เป็นระบบ เช่น กฎหมายโรมัน (Roman Law) ที่ยังมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
การเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำเงินมาบริหารประเทศ -
Period: 27 BCE to 476
การปกครองของจักรวรรดิโรมัน
เริ่มจากการขึ้นสู่อำนาจของออคตาเวียน (Octavian) หรือออคตาเวียน ออกัสตัส (Augustus) ซึ่งมีอำนาจสูงสุดและทำให้ระบบการปกครองเป็นแบบรวมศูนย์
จักรพรรดิเป็นหัวหน้าทั้งทางการเมืองและศาสนา
การบริหาร:
การจัดตั้งจังหวัด (Provinces) เพื่อควบคุมดินแดนต่าง ๆ
มีการแต่งตั้งผู้ปกครองจังหวัด (Governors) ที่ทำหน้าที่แทนจักรพรรดิ -
ฮัมมูราบี
ฮัมมูราบีเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่มีชื่อเสียงจากการจัดทำ "กฎหมายฮัมมูราบี" ซึ่งเป็นชุดกฎหมายที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์กฎหมายโบราณ โดยมีประมาณ 282 มาตรา กฎหมายเหล่านี้ถูกสลักบนหินและมีหลักการที่ชัดเจน เช่น การลงโทษตามความผิดที่เกิดขึ้น (an eye for an eye) ฮัมมูราบียังได้ขยายอาณาเขตและเสริมสร้างความมั่งคั่งของบาบิโลน -
Period: to
ฮัมมูราบี
ฮัมมูราบีเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่มีชื่อเสียงจากการจัดทำ "กฎหมายฮัมมูราบี" ซึ่งเป็นชุดกฎหมายที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์กฎหมายโบราณ โดยมีประมาณ 282 มาตรา กฎหมายเหล่านี้ถูกสลักบนหินและมีหลักการที่ชัดเจน เช่น การลงโทษตามความผิดที่เกิดขึ้น (an eye for an eye) ฮัมมูราบียังได้ขยายอาณาเขตและเสริมสร้างความมั่งคั่งของบาบิโลน -
Period: to 593
การปกครองของเมโสโปเตเมียยุคบาบิโลเนียน
การปกครองในยุคบาบิโลเนียนมีความสำคัญในด้านการบริหารราชการ การออกกฎหมาย และการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะในช่วงของฮัมมูราบีและเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 การออกกฎหมายและการบริหารราชการที่เข้มงวดช่วยสร้างความเป็นระเบียบและความมั่นคงในอาณาจักร และการขยายอำนาจทำให้บาบิโลนกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญในเมโสโปเตเมีย -
ซาร์โกนแห่งอักคาด
ซาร์โกนเป็นกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิอักคาด ซึ่งเป็นจักรวรรดิแรกในประวัติศาสตร์ที่รวมดินแดนในเมโสโปเตเมียเข้าด้วยกัน ซาร์โกนเริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการในเมืองคิช (Kish) ก่อนจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เขาใช้กลยุทธ์ทางทหารที่มีประสิทธิภาพในการพิชิตเมืองต่างๆ และสร้างระบบการบริหารที่มีความเข้มแข็ง รวมทั้งการพัฒนาการค้าและวัฒนธรรมในภูมิภาค -
Period: to
ซาร์โกนแห่งอักคาด
ซาร์โกนเป็นกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิอักคาด ซึ่งเป็นจักรวรรดิแรกในประวัติศาสตร์ที่รวมดินแดนในเมโสโปเตเมียเข้าด้วยกัน ซาร์โกนเริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการในเมืองคิช (Kish) ก่อนจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เขาใช้กลยุทธ์ทางทหารที่มีประสิทธิภาพในการพิชิตเมืองต่างๆ และสร้างระบบการบริหารที่มีความเข้มแข็ง รวมทั้งการพัฒนาการค้าและวัฒนธรรมในภูมิภาค