-
30 BCE
ยุคอียิปต์โบราณ (3000 – 30 ปีก่อนคริสตกาล)
การแต่งกายมีการใช้ผ้าลินินและผ้าที่เบาบาง สวมใส่เพื่อความสบายในอากาศร้อน
เสื้อผ้ามักมีรูปแบบที่เรียบง่ายและประดับด้วยทองคำหรืออัญมณี -
400
ยุคกรีกและโรมัน (800 ปีก่อนคริสตกาล – 400 ค.ศ.)
เครื่องแต่งกายเน้นการพับผ้าอย่างสวยงาม ผ้าคลุมและเสื้อยาวเป็นที่นิยมในชนชั้นสูง
สีและลวดลายของเสื้อผ้าสะท้อนถึงสถานะและความมั่งคั่ง -
1400
ยุคกลาง (ค.ศ. 400 – 1400)
แฟชั่นมีการพัฒนาตามการขยายอาณาจักร เสื้อผ้าเน้นความหรูหราและประดับด้วยผ้ากำมะหยี่และผ้าไหม
การแบ่งชั้นทางสังคมเห็นได้จากเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกัน -
ยุคเรเนซองส์ (ค.ศ. 1400 – 1600)
แฟชั่นเริ่มสะท้อนถึงการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม การแต่งกายของผู้คนเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนและความประณีต
เสื้อผ้ามีการใช้ผ้าหรูหราและลวดลายที่ละเอียดซับซ้อน -
ยุคบาโรก (ค.ศ. 1600 – 1700)
แฟชั่นเริ่มเปลี่ยนไปในรูปแบบที่ฟุ่มเฟือยและเกินจริง ชุดที่มีโครงสร้างแข็งแรงและลวดลายที่ซับซ้อนเป็นที่นิยม -
ยุคโรโคโค (ค.ศ. 1700 – 1780)
เสื้อผ้ามีความหรูหราและละเอียดอ่อน เน้นความหวานและการประดับด้วยลูกไม้และริบบิ้น
ชุดผู้หญิงเต็มไปด้วยสีพาสเทลและมีลวดลายดอกไม้ -
ยุคนโปเลียน (ค.ศ. 1790 – 1820)
เสื้อผ้ากลับมาเรียบง่ายขึ้น การสวมเสื้อผ้าที่เน้นความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ชุดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโรมันและกรีกโบราณกลับมาเป็นที่นิยม -
ยุควิกตอเรีย (ค.ศ. 1837 – 1901)
เสื้อผ้ามีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้หญิงสวมใส่ชุดคอร์เซ็ตที่รัดตัวและกระโปรงสุ่มที่มีขนาดใหญ่
ผู้ชายมักสวมสูทสไตล์สุภาพและเรียบร้อย -
ยุคเอ็ดเวิร์ด (ค.ศ. 1901 – 1910)
แฟชั่นเริ่มเน้นความเป็นอิสระและความคล่องตัวมากขึ้น กระโปรงสุ่มถูกลดลง และเสื้อผ้ามีรูปทรงที่พอดีตัว
ผู้ชายยังคงสวมสูทแบบสุภาพ แต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของเสื้อผ้า -
ทศวรรษ 1920s
แฟชั่นของผู้หญิงเปลี่ยนไปอย่างมาก ผู้หญิงเริ่มสวมใส่ชุดสั้นและไม่ต้องใช้คอร์เซ็ต
ชุดเดรสในสไตล์ Flapper ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นตรงและเน้นความสะดวกสบายได้รับความนิยม -
ทศวรรษ 1930s
แฟชั่นของผู้หญิงกลับมาเน้นความหรูหราอีกครั้ง แต่มีรูปทรงที่อ่อนนุ่มและเป็นผู้หญิงมากขึ้น
แฟชั่นของผู้ชายยังคงเน้นสูทที่สุภาพ แต่เสื้อผ้ามีการออกแบบที่เข้ารูปมากขึ้น -
ทศวรรษ 1940s
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แฟชั่นต้องปรับตัวให้เข้ากับการขาดแคลนวัสดุ เสื้อผ้ามีรูปแบบที่เรียบง่ายและทนทาน
ชุดยูนิฟอร์มทหารและเสื้อผ้าแนวทหารกลายเป็นแฟชั่นที่นิยม -
ทศวรรษ 1950s
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แฟชั่นของผู้หญิงกลับมาเน้นความงดงามและเซ็กซี่อีกครั้ง ชุดเดรสกระโปรงบานและเสื้อผ้ารัดรูปเป็นที่นิยม
แฟชั่นผู้ชายมีการสวมใส่สูทแบบคลาสสิคและเน้นความเป็นทางการ -
ทศวรรษ 1960s
เป็นยุคของการปฏิวัติแฟชั่น การแต่งกายแนวมินิมอลและการสวมกระโปรงสั้นได้รับความนิยม
สีสันสดใสและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ลายพิมพ์และลายกราฟิกกลายเป็นที่นิยม -
ทศวรรษ 1970s
แฟชั่นแนวโบฮีเมียนและดิสโก้เริ่มเป็นที่นิยม การแต่งตัวเป็นไปอย่างเสรีและสร้างสรรค์มากขึ้น
เสื้อผ้าทรงหลวม กางเกงขาม้า และเสื้อผ้าที่มีลวดลายมากมายเป็นจุดเด่น -
ทศวรรษ 1980s
เป็นยุคที่แฟชั่นเน้นความใหญ่โตและดูหรูหรา เสื้อผ้าสีสันสดใสและแฟชั่นแนวพังก์และร็อคเป็นที่นิยม
ชุดสูทที่มีไหล่กว้างและผมทรงใหญ่กลายเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ -
ทศวรรษ 1990s
แฟชั่นมีความหลากหลายมากขึ้น มีการผสมผสานสไตล์แนววินเทจ สตรีทแวร์ และเสื้อผ้าแบรนด์เนม
เสื้อผ้าที่รัดรูปและเสื้อผ้าแนวสปอร์ตกลายเป็นเทรนด์ใหม่ -
ทศวรรษ 2000s
แฟชั่นมีความหลากหลายมากขึ้น มีการผสมผสานสไตล์แนววินเทจ สตรีทแวร์ และเสื้อผ้าแบรนด์เนม
เสื้อผ้าที่รัดรูปและเสื้อผ้าแนวสปอร์ตกลายเป็นเทรนด์ใหม่ -
ทศวรรษ 2010s
แฟชั่นยุค 2010 เป็นช่วงเวลาที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยได้รับอิทธิพลจากทั้งโลกดิจิทัล ความสะดวกสบาย และวัฒนธรรมป๊อป นี่คือแนวโน้มหลักที่โดดเด่นของแฟชั่นในยุค 2010: -
ทศวรรษ 2020s – 2024
แฟชั่นในยุคปัจจุบันเน้นความยั่งยืนและการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เทรนด์แฟชั่นแนวสตรีทแวร์และแนวสบาย ๆ (Casual) ยังคงเป็นที่นิยม และมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน