การเเบ่งยุคสมัย

  • 10,000 BCE

    ยุคหินเก่า

    ยุคหินเก่า
    2.5ล้านปี-10,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น และดำรงชีพอยู่ ทางตะวันออกของ แอฟริกา
    ต่อมามีมนุษย์จำนวนหนึ่ง
    กระจายไปยังเอเชียยุโรปและอเมริกา เร่ร่อน
    เก็บของป่าล่าสัตว์ อยู่ในถ้ำ เครื่องมือหินกระเทาะ รู้จักใช้ไฟ นุ่งห่มหนังสัตว์ ศิลปะภาพวาดผนังถ้ำ มีภาษาพูด พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายมีภาษาพูด พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย
  • Period: 10,000 BCE to 800

    ยุคหินเก่า

    ยุคหินเก่า เป็นช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีจุดเด่นอยู่ที่การพัฒนาเครื่องมือหินยุคแรกเริ่ม และครอบคลุมประมาณ 95% ของเทคโนโลยีก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์[1] เริ่มตั้งแต่การใช้เครื่องมือหินครั้งแรก คาดว่าโดย Homo habilis เมื่อ 2.6 ล้านปีก่อน จนถึงปลายสมัยไพลสโตซีนประมาณ 10,000 ปีก่อนปัจจุบัน
  • 3600 BCE

    สมัยประวัติศาสตร์

    สมัยประวัติศาสตร์
    สมัยประวัติศาสตร์ เป็นช่วงที่มีตัวอักษรใช้บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆแล้ว การศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนในสมัยประวัติศาสตร์ นักวิชาการจึงใช้ทั้งจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จารึก จดหมายเหตุ เป็นต้น และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เจดีย์ ปราสาทหิน วัด พระพุทธรูป เงินเหรียญ เป็นต้น
  • 3500 BCE

    สมัยโบราณ

    สมัยโบราณ
    ฟาโรห์ ผู้ปกครองอารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมที่โด่งดังในสมัยโบราณสมัยโบราณความหมายที่เป็นสากล จะหมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักการตั้งถิ่นฐานถาวร สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม อักษรต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งในแต่ละประเทศ สมัยโบราณจะมาถึงเร็วหรือช้า จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาใดทีประเทศนั้นอยู่ในช่วงสร้างและประดิษฐ์อารยธรรมที่จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าอารยธรรมของประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลานั้น ของประเทศนั้น ก็จะจัดอยู่ในช่วงสมัยโบราณ
  • Period: 3500 BCE to 476

    สมัยโบราณ

    สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลกจะตรงกับ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 476 เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว อารยรรมที่โด่งดังจำนวนมากของโลกถือกำเนิดในช่วงนี้ เช่น อารยธรรมโรมัน กรีก เมโสโปเตเมีย จีน อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ทั่วโลกจึงกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวให้เป็นสมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก
    สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับเอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูงในสังคมโรมัน
  • 3300 BCE

    อาวุธทองเเดง

    อาวุธทองเเดง
    ยุคทองแดง (ประมาณ 3300–1200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) คือช่วงเวลาที่ทองแดงกลายเป็นวัสดุหลักในการผลิตเครื่องมือและอาวุธ เทคโนโลยีการหลอมโลหะพัฒนาขึ้น ทำให้เกิดการผลิตสิ่งของที่มีความแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งช่วยพัฒนาการเกษตรและการค้า อารยธรรมที่สำคัญในยุคนี้ยุคทองแดง ก่อนยุคสำริด เดิมนิยามยุคทองแดงว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคหินใหม่และยุคสำริด แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุคหินใหม่
    แหล่งโบราณคดี ระบุอายุแน่ชัดเก่าแกสุดในโลกตั้งแต่ 5,000 ปีก่อน ค.ศ
  • Period: 3300 BCE to 1200

    ทองเเดง

    เมโสโปเตเมีย: การก่อตั้งเมืองรัฐและการพัฒนาการเขียน (คูนิฟอร์ม)
    อียิปต์: การสร้างพีระมิดและการพัฒนาโครงสร้างสังคม
    วัฒนธรรมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน: การค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
    ในช่วงนี้ยังมีการพัฒนาเครื่องปั้นดินเผาและศิลปะที่หลากหลาย
  • 2070 BCE

    จีนโบราณ

    จีนโบราณ
    จีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่า อารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือการสร้างระบบภาษาเขียน และการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อ ประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไปในบางครั้งก็ถูกปกครอง โดยชนชาติอื่น วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพการค้าและการยึดครอง
  • Period: 2070 BCE to 221

    จีนโบราณ

    กระดูกเสี่ยงทายเป็นคลังข้อมูลสำคัญแรกสุดของการเขียนภาษาจีนด้วยอักษรจีนยุคแรก ข้อความบนกระดูกเสี่ยงทายมีตัวอักษรที่แตกต่างกันราว 5,000 ตัวอักษร แม้จะมีเพียง 1,200 ตัวอักษรที่ได้รับการจำแนกอย่างชัดเจน กระดูกเสี่ยงทายให้ข้อมูลสำคัญช่วงปลายราชวงศ์ชาง และนักวิชาการจำลองลำดับราชวงศ์ชางจากข้อความบนกระดูกเหล่านี้
  • 1800 BCE

    ยุคสมัยใหม่

    ยุคสมัยใหม่
    ยุคเรอเนสซองส์ศตวรรษที่ 14-17 เน้นการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาศาสตร์ของยุคกรีก-โรมัน โดดเด่นด้วยการพัฒนาในด้านศิลปะและการค้นคว้าวิจัย
    ยุคการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ศตวรรษที่ 16-17 การพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์
    ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 18-19 การเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการผลิตและชีวิตประจำวัน
    ยุคสมัยใหม่ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมการพัฒนาในด้านเทคโนโลยี การสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง
  • Period: 1760 BCE to

    ยุคสมัยใหม่

    เกิดศาสนาคริสต์ 2 นิกาย คือ โรมัน คาทอลิก และโปรเตสแตนส์
    การสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
    และการค้นพบดินแดนโลกใหม่ เรียกยุคนี้ว่า
    สมัยแห่งการค้นพบการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และยุคแห่งการรู้แจ้ง(คริสต์ศตวรรษที่17-18)
    มีความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรม
    เริ่มต้นที่อังกฤษในช่วงค.ศ.1760 แล้วค่อยๆ
    ขยายไปยังประเทศยุโรปอื่นการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สมัยใหม่สิ้นสุดลง และเข้าสู่ สมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา
  • 1600 BCE

    ยุคการปฏิวัติ

    ยุคการปฏิวัติ
    ยุคการปฏิวัติ (Revolutionary Era)
    ประมาณ 17th - 18th ศตวรรษ (1600 - 1800 ค.ศ.)
    การปฏิวัติทางการเมืองและวิทยาศาสตร์ เช่น การปฏิวัติอเมริกาและการปฏิวัติฝรั่งเศส
  • Period: 1600 BCE to

    ยุคการปฏิวัติ

    การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1825 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม การผลิต การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยายไปยังยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น จนขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมา
  • 1300 BCE

    ยุคกลางปลาย

    ยุคกลางปลายค.ศ. 1300-1500
    การเกิดสงครามใหญ่ เช่น สงครามร้อยปี
    การเกิดโรคระบาด เช่น กาฬโรค
    การเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสังคมยุโรสมัยกลางตอนปลาย คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรปที่กินเวลาระหว่าง ค.ศ. 1250 จนถึง ค.ศ. 1500 โดยเป็นยุคสมัยที่ต่อเนื่องมาจากสมัยกลางตอนกลาง และเป็นยุคสมัยก่อนสมัยใหม่ตอนต้น (ซึ่งในยุโรปส่วนใหญ่นั้นเรียกว่าสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา)สมัยกลางตอนปลาย
    ภูมิภาคยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน
  • Period: 1300 BCE to 1500

    ยุคกลางปลาย

    สงครามร้อยปีสงครามระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1337 และยืดเยื้อไปจนถึงปี ค.ศ. 1453 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรป
    กาฬโรคการระบาดของกาฬโรคในช่วงปี ค.ศ. 1347-1351 ที่คร่าชีวิตประชากรยุโรปประมาณหนึ่งในสาม และส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจการเกิดและการเปลี่ยนแปลงในสถาบันศาสนา: การเกิดการเคลื่อนไหวทางศาสนา การเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เน้นความสนใจในศิลปะ, วิทยาศาสตร์, และการศึกษา ซึ่งเริ่มต้นในอิตาลีและแพร่ไปทั่วยุโรป
  • 656 BCE

    ยุคเหล็ก

    ยุคเหล็ก
    ยุคเหล็กป็นยุคสุดท้ายของยุคโลหะ ซึ่งมาหลังจากยุคทองแดงและยุคสัมฤทธิ์ตามลำดับ
    นอกจากนี้ ยังถือเป็นยุคสุดท้ายในระบบการแบ่งยุคประวัติศาสตร์ 3 ยุค เริ่มต้นจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ต่อเนื่องมายังยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ ในบริบทนี้ ยุคหิน แบ่งเป็นยุคหินเก่า, ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่
  • 500 BCE

    สมัยกลางตอนต้น

    สมัยกลางตอนต้น
    สมัยกลางตอนต้น เป็นสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป เริ่มขึ้นหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันและดำเนินต่อเนื่องกันเป็นเวลาประมาณห้าร้อยปีโดยเริ่มตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 500 จนกระทั่งมาถึงราวปี ค.ศ. 1000 สมัยกลางตอนต้นสิ้นสุดแล้วจึงต่อด้วยสมัยกลางตอนกลาง
  • Period: 500 BCE to 1000

    ยุคกลางตอนต้น

    สมัยกลางตอนต้น (Early Middle Ages) เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 500 และสิ้นสุดประมาณ ค.ศ. 1000 ช่วงเวลานี้เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุโรปหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน มีการเกิดขึ้นของอาณาจักรใหม่ เช่น อาณาจักรแฟรงค์และอาณาจักรอังกฤษ ในด้านวัฒนธรรมและสังคม สมัยกลางตอนต้นเห็นการขยายตัวของศาสนาคริสต์ โดยมีบทบาทสำคัญในการรวมกลุ่มชนชาติและสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาทางการเกษตร เช่น การใช้เทคนิคใหม่ๆ และการปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ
  • 476 BCE

    ยุคมืด

    ยุคมืด
    ยุคมืด (Dark Ages) โดยทั่วไปหมายถึงช่วงเวลาหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในประมาณปี ค.ศ. 476 จนถึงประมาณ ค.ศ. 1000 ช่วงนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นยุคที่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มีน้อย และการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ศิลปะและวิทยาศาสตร์ชะลอตัวลง
  • Period: 476 BCE to 1000

    ยุคมืด

    ยุคมืด เป็นความคิดที่เริ่มโดยนักปรัชญาชาวอิตาลีเพทราค ในคริสต์ทศวรรษ 1330 โดยมีความตั้งใจที่จะเป็นการวิจารณ์ลักษณะของวรรณกรรมภาษาละตินโดยทั่วไป นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาขยายความจนรวมไปถึงช่วงเวลาที่คาบระหว่างสมัยโรมันโบราณไปจนถึงยุคกลางตอนกลาง ที่รวมทั้งการขาดแคลนวรรณกรรมภาษาละติน, ขาดแคลนหลักฐานทางเอกสารทางประวัติศาสตร์, การลดจำนวนของประชากร, การลดจำนวนการก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม และการหยุดยั้งความเจริญทางวัตถุและทางวัฒนธรรมโดยทั่วไป