-
431 BCE
นครรัฐสปาร์ตา
“สปาร์ตา (Sparta)” คือนครรัฐอิสระและสังคมของกลุ่มนักรบในสมัยกรีซโบราณ สามารถพิชิตกรุงเอเธนส์ในสงครามเพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian War) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสตกาวัฒนธรรมและสิ่งยึดถือของนักรบสปาร์ตา ก็คือการภักดีต่อรัฐและกองทัพ โดยเด็กชายชาวสปาร์ตาที่มีอายุครบเจ็ดขวบ จะได้เข้ารับการศึกษาที่รัฐบาลเป็นผู้จัด รวมทั้งจะได้รับการฝึกทหารและขัดเกลา โดยโปรแกรมการฝึกนี้เรียกว่า “อะโกเก (Agoge)” และเน้นย้ำที่ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ระเบียบวินัย และความอดทน -
30
ยุคเฮลเลนิสติก (ประมาณ 323-30 ปีก่อนคริสต์
ยุคเฮลเลนิสติก (ประมาณ 323-30 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เกิดขึ้นหลังจากการตายของอเล็กซานเดอร์มหาราช- การกระจายตัวของวัฒนธรรมกรีก อิทธิพลของวัฒนธรรมกรีกแพร่กระจายไปยังอาณาจักรที่อเล็กซานเดอร์พิชิต เช่น อียิปต์, เมโซโปเตเมีย และเอเชียกลาง
- อาณาจักรที่สำคัญ อาณาจักรที่เกิดขึ้น ได้แก่ อาณาจักรพโตเลมีในอียิปต์, อาณาจักรเซลิวซิดในเอเชียไมเนอร์ และอาณาจักรอันทิโอคัส
- ศิลปะและสถาปัตยกรรม การพัฒนาศิลปะที่มีความเป็นจริงมากขึ้น เช่น การสร้างรูปปั้นและจิตรกรรมที่สะท้อนอารมณ์
-
30
ยุคโรมัน ประมาณ 30-476ปีก่อนคริสต์ศักราช
ยุคโรมัน (30 ปีก่อนคริสต์ศักราช–323ปีคริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการพัฒนาอารยธรรมในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในแง่วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลจาก การรวมเข้ากับอาณาจักรโรมัน: หลังจากการพิชิตกรีซ โรมเริ่มนำวัฒนธรรมกรีกมาใช้ โดยเฉพาะในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม และการศึกษา การเลียนแบบศิลปะ: สถาปัตยกรรมโรมัน เช่น วิหาร และโคลอสเซียม ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมกรีก เช่น การใช้เสาหรือคอลัมน์ -
Period: 30 to 323
ยุคเฮลเลนิสติก (ประมาณ 323-30 ปีก่อนคริสต์
- ปรัชญา การพัฒนาปรัชญาหลายสำนัก เช่น สโตอิก และเอพิคูเรียน ซึ่งเน้นการหาความสุขและการใช้ชีวิตที่มีคุณค่า
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์ โดยมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น ยูคลิดในคณิตศาสตร์และอาร์คิมีดีสในฟิสิกส์
- การค้าและเศรษฐกิจ การค้าเจริญรุ่งเรือง โดยมีเส้นทางการค้าเชื่อมต่อกับเอเชียและอียิปต์
- การล่มสลาย ยุคนี้สิ้นสุดเมื่อโรมันเข้าครอบครองอียิปต์ในปี 30 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่งผลให้วัฒนธรรมเฮลเลนิสติกเริ่มลดลง
-
Period: 30 to 476
ยุคโรมัน (30 ปีก่อนคริสต์ศักราช–476 ปีคริสต์ศักราช)
ก ารศึกษาและปรัชญา: ปรัชญากรีกมีอิทธิพลต่อความคิดของชาวโรมัน เช่น การนำเสนอแนวคิดของโสกราตีสและอริสโตเติล สถาบันการศึกษาที่มีอยู่ในกรุงโรมได้ยึดแนวทางการศึกษาที่อิงกับปรัชญากรีก การแพร่กระจายของวัฒนธรรม: อาณาจักรโรมันทำให้วัฒนธรรมกรีกแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ในยุโรปและเอเชีย ส่งผลให้วัฒนธรรมและภาษากรีกมีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆ วรรณกรรมและภาษา: วรรณกรรมกรีกมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมโรมัน นักเขียนอย่างเวอร์จิลและโอวีเดียสได้ดัดแปลงแนวคิดและรูปแบบจากกรีก -
146
อารยธรรมเฮลเลนิสต์
อารยธรรมเฮลเลนิสต์ (อังกฤษ: Hellenistic civilization) เป็นจุดสูงสุดของความมีอิทธิพลของอารยธรรมกรีกในโลกยุคโบราณตั้งแต่ราวปี 323 จนถึงราวปี 146 ก่อนคริสต์ศตวรรษ (หรืออาจจะดำเนินต่อมาถึงปี 30 ก่อนคริสต์ศตวรรษก็เป็นได้) เป็นสมัยที่ตามมาจากสมัยกรีกคลาสสิก (Classical Greece) และตามมาทันทีด้วยการปกครองของโรมในบริเวณที่เคยปกครองโดยหรือมีอิทธิพลจากกรีซ – แม้ว่าวัฒนธรรม ศิลปะ และวรรณคดีของกรีซจะยังคงมีอิทธิพลต่อสังคมของโรมัน ที่ชนชั้นสูงจะพูดและอ่านภาษากรีก -
Period: 183 to 197
สงครามโรมัน-กรีก(183–179 ก่อนคริสต์ศักราช)สาเหตุ
สงครามโรมัน-กรีก ครั้งที่ 2 (183–179 ก่อนคริสต์ศักราช) เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุที่สำคัญ ดังนี้
ความตึงเครียดระหว่างอาณาจักร
อาณาจักรไซลูซิด ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่เกิดจากการแบ่งแยกของจักรวรรดิอเล็กซานเดอร์มหาราช มีความสนใจในพื้นที่กรีกและพยายามขยายอำนาจในภูมิภาคนี้ ทำให้เกิดความตึงเครียดกับโรมัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในกรีซ
การเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองของเมืองรัฐกรีกและการต่อสู้ภายในระหว่างเมืองรัฐต่างๆ ทำให้โรมันเห็นโอกาสในการขยายอิทธิพล ความขัดแย้งระหว่างพันธมิตร -
187
สงครามโรมัน-กรีกครั้งที่2เกิดจึ้นในระหว่างปี187-197ก่อนคริสต์ศักราช
สงครามนี้เป็นผลมาจากความตึงเครียดระหว่างโรมันและอาณาจักรเฮลเลนิสติก โดยเฉพาะอาณาจักรไซลูซิด (Seleucid Empire) และอาณาจักรแมกโดเนีย การสนับสนุนเมืองรัฐกรีก: เมืองรัฐกรีกหลายแห่งที่ถูกปกครองโดยจักรวรรดิฮีลานิก (Hellenistic kingdoms) ต้องการการสนับสนุนจากโรมัน เพื่อเอาชนะอำนาจที่ การต่อสู้กับอาณาจักรไซลูซิด: โรมันได้ทำการสู้รบกับกองทัพไซลูซิดในภูมิภาคกรีก -
Period: 187 to 197
สงครามโรมัน-กรีกครั้งที่2เกิดจึ้นในระหว่างปี187-197ก่อนคริสต์ศักราช
สงครามนี้เป็นผลมาจากความตึงเครียดระหว่างโรมันและอาณาจักรเฮลเลนิสติก โดยเฉพาะอาณาจักรไซลูซิด (Seleucid Empire) และอาณาจักรแมกโดเนีย สงครามนี้นำไปสู่การเพิ่มอิทธิพลของโรมันในกรีซ และการลดลงของอำนาจที่มีอยู่ของอาณาจักรเฮลเลนิสติก -
197
สงครามโรมัน-กรีก ครั้งที่1ระหว่างปี 200-197 ก่อนคริสต์ศักราช
สงครามโรมัน-กรีก ครั้งที่ 1 เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 200-197 ก่อนคริสต์ศักราช โดยมีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ การรบที่แม่น้ำเกลิเซส: โรมันนำโดยกองทัพของซูเอส (Titus Quinctius Flamininus) เอาชนะกองทัพของฟิลิปที่ 5 แห่งแมกโดเนีย การประกาศอิสรภาพ: หลังจากชัยชนะในแม่น้ำเกลิเซส ฟลามินินัสประกาศให้เมืองรัฐกรีกกลับมาเป็นอิสระ ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากเมืองรัฐกรีกจำนวนมาก -
Period: 197 to 200
สงครามโรมัน-กรีก ครั้่งที่1 ในระหว่างปี 200-197 ก่อนคริสต์ศักราช
การสู้รบในกรีซ: สงครามยังคงดำเนินต่อไปในภูมิภาคต่าง ๆ ของกรีซ จนกระทั่งโรมันสามารถยึดครองพื้นที่สำคัญได้ ชัยชนะของโรมัน: สงครามสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของโรมัน ฟิลิปที่ 5 ต้องยอมทำสัญญาสันติภาพ การสร้างอิทธิพล: โรมันเริ่มมีอิทธิพลต่อเมืองรัฐกรีก และเมืองรัฐกรีกในยุคต่อมาจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับโรมันมากขึ้น การหันมาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมกรีก: แม้ว่าโรมันจะมีอำนาจเหนือกรีซ แต่ก็มีการนำเอาวัฒนธรรมกรีกเข้ามาในมาในสังคมโรมัน -
Period: 197 to 200
สาเหตุของสงครามโรมัน-กรีก
การสนับสนุนเมืองรัฐกรีก: เมืองรัฐกรีกหลายแห่งที่ถูกปกครองโดยจักรวรรดิฮีลานิก (Hellenistic kingdoms) ต้องการการสนับสนุนจากโรมัน เพื่อเอาชนะอำนาจการขยายอำนาจของโรมัน: หลังจากการต่อสู้กับพวกคาร์เธจในสงครามพูนิก โรมันเริ่มมองหาการขยายอำนาจในภูมิภาคกรีก -
200
รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆในสมัยกรีก
ส่วนมากเป็นเรื่องศาสนา ซึ่งสร้างถวายเทพเจ้าต่าง ๆ วัสดุที่นิยใช้สร้างงานได้แก่ ทองแดง และดินเผา ในสมัยต่อมานิยมสร้างจาก สำริด และหินอ่อนเพิ่มขึ้น ในสมัยแรก ๆ รูปทรงยังมีลักษณะคล้ายรูปเรขาคณิต อยู่ต่อมาในสมัยอาร์คาอิก (200 ปีก่อน พ.ศ.) เริ่มมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์มากขึ้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เทพเจ้า รูปนักกีฬา รูปวีรบุรุษ รูปสัตว์ต่าง ๆ ในยุคหลัง ๆ รูปทรงจะมีความเป็น มนุษย์มากขึ้น แสดงท่าทางการเคลื่อนไหวที่สง่างาม มีการ ขัดถูผิวหินให้เรียบ ดูคล้ายผิวมนุษย์ มีลีลาทีเป็นไปตามธรรมชาติ -
285
ยุคไบแซนไทน์ (ประมาณ 330–1453 คริสต์ศักราช)
เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของกรีซและโลกตะวันออก โดยมุ่งเน้นไปที่จักรวรรดิโรมันตะวันออกซึ่งมีศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคืออิสตันบูล) การก่อตั้งจักรวรรดิ
จักรวรรดิโรมันตะวันออก: ก่อตั้งขึ้นหลังจากการแบ่งจักรวรรดิออกเป็นสองส่วนในปี 285 โดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียน วัฒนธรรมและศาสนา
การพัฒนาแนวคิดทางศาสนา: ยุคนี้เป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในสังคม
อารยธรรมและศิลปะ: การพัฒนาศิลปกรรมแบบไบแซนไทน์ เช่น โบสถ์และโมเสกที่สวยงาม -
300
ปลุกตำนานเทพีไนกี้แห่งซาโมเทรซ
อนุสาวรีย์เทพีไนกี้แห่งซาโมเทรซ หรือ Winged Victory of Samothrace คือหนึ่งในบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ที่คอยย้ำเตือนจนถึงทุกวันนี้ โดยรูปปั้นเป็นประติมากรรมยุคกรีกเฮเลนิสติกแกะสลักจากหินอ่อน ซึ่งคาดว่าถูกสร้างขึ้นในราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงยุคขนมผสมน้ำยาหรือยุคที่สามของประวัติศาสตร์กรีกโบราณ ที่ต้องการให้ภาษากรีกและวัฒนธรรมแพร่กระจายไปทั่วโลก รวมถึงแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน -
Period: 300 to
ปลุกตำนานเทพีไนกี้แห่งซาโมเทรซ
จึงเป็นชนวนเหตุของการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอำนาจและน่านน้ำทะเล และเมื่อกรีซได้รับชัยชนะ อนุสาวรีย์เทพีไนกี้แห่งซาจึงกลายเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ และถูกค้นพบในภายหลังบริเวณเกาะซาโมเทรซ ประเทศกรีซในปี ค.ศ. 1863 -
323
ยุคสมัยเฮลเลนิส์
สมัยเฮลเลนิสต์ (อังกฤษ: Hellenistic period) เป็นสมัยที่เริ่มขึ้นหลังจากอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิดอนได้รับชัยชนะต่อจักรวรรดิเปอร์เชีย ในช่วงนี้อารยธรรมของกรีกก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดทั้งในยุโรปและเอเชีย มักจะถือกันว่าเป็นสมัยคาบเกี่ยว (transition) หรือบางครั้งก็เกือบจะถือว่าเป็นสมัยของความเสื่อมโทรมหรือสมัยของการใช้ชีวิตอันเกินเลย (decadence)[1] ระหว่างความรุ่งเรืองของสมัยกรีกคลาสสิก -
323
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
อเล็กซานดรอสที่ 3 แห่งมาเกโดนีอา (กรีก: Αλέξανδρος, อักษรโรมัน: Aléxandros) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า อเล็กซานเดอร์มหาราช (อังกฤษ: Alexander the Great; 20/21 กรกฎาคม 356 ปีก่อน ค.ศ. – 10/11 มิถุนายน 323 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นจอมกษัตริย์กรีกโบราณแห่งราชอาณาจักรมาเกโดนีอา เป็นสมาชิกของราชวงศ์อาร์กีด ประสูติในเมืองเพลลาในปี 356 ก่อนคริสตกาลและขึ้นสืบบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดาขณะมีวัยเพียง 20 ปี -
323
ยุคคลาสสิกของกรีก (ประมาณ 500-323 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงที่มีความเจริญรุ่งเรืองในหลายด้าน
- การเมืองและสังคม ประชาธิปไตยในเอเธนส์: ระบบการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สงครามเปอร์เซีย: การรวมตัวกันของรัฐเมืองกรีกเพื่อต่อสู้กับการรุกรานจากเปอร์เซีย
- ปรัชญา นักปรัชญาชื่อดัง เช่น โซเครตีส, เพลโต, และอริสโตเติล สำรวจแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และความรู้
- ศิลปะและสถาปัตยกรรม การสร้างสรรค์ศิลปะที่มีชื่อเสียง เช่น วิหารพาร์เธนอน สะท้อนถึงความงามและความสมดุล รูปปั้นและจิตรกรรมที่มีความละเอียดและเทคนิคสูง
-
Period: 323 to 356
พระเจ้า อเล็กซานเดอร์มหาราช
อเล็กซานเดอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในรัชสมัยของเขาไปกับการสู้รบอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในทวีปเอเชียและแอฟริกาตอนเหนือ และก่อนมีพระชนม์ครบสามสิบปี พระองค์ก็ได้สร้างหนึ่งในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณ แผ่ไพศาลตั้งแต่กรีซไปจนถึงทางตะวันตกของอินเดีย พระองค์ไม่เคยปราชัยในศึกใดมาก่อนและได้รับการยอมรับนับถือเป็นหนึ่งในแม่ทัพผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์โลก -
Period: 323 to 500
ยุคคลาสสิกของกรีก (ประมาณ 500-323 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงที่มีความเจริญรุ่งเรืองในหลายด้าน
- วรรณกรรม วรรณกรรมกรีกมีชื่อเสียง เช่น “อีเลียด” และ “โอเดสซี” ของฮอมเมอร์ รวมถึงผลงานของนักเขียนเช่น โสพโฟเคิล
- กีฬา การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเริ่มขึ้นในปี 776 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีการเฉลิมฉลองในเมืองโอลิมเปีย
- ศาสนา ความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ เช่น ซุส, เฮร่า และอธีนา มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน
- การล่มสลาย ยุคนี้สิ้นสุดลงด้วยการตายของอเล็กซานเดอร์มหาราชในปี 323 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิภาค ยุคคลาสสิกมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรม
-
Period: 330 to 1453
ยุคไบแซนไทน์ (ประมาณ 330–1453 คริสต์ศักราช)
คอนสแตนตินที่ 1: ในปี 330, เขาได้ย้ายศูนย์กลางอำนาจไปยังกรุงบอสฟอรัส สร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ การเมืองและสงคราม
สงครามกับชาวเปอร์เซีย: ช่วงต้นของยุคไบแซนไทน์มีสงครามกับจักรวรรดิเปอร์เซียซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมือง
การรุกรานของชนเผ่าต่างๆ
การล่มสลายของคอนสแตนติโนเปิล: ในปี 1453 คอนสแตนติโนเปิลถูกยึดโดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 ทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์สิ้นสุดลง -
Period: 331 to 334
อาวุธที่ใช้ในสงครามของฟิลิปที่ 2 ของซิโดเนีย
โดยหลักๆ จะประกอบด้วย
ดาบ
ดาบสั้นที่ใช้ในระยะประชิด มีใบมีดเรียวแหลม เหมาะสำหรับการโจมตีและป้องกัน
2. หอก
ใช้เป็นอาวุธหลักของทหารมาซิโดเนีย ช่วยให้ทหารสามารถโจมตีศัตรูจากระยะไกลก่อนที่จะเข้าสู่การต่อสู้ระยะประชิด
3. โล่
โล่กลมขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้และโลหะ ใช้เพื่อป้องกันการโจมตีจากศัตรู
4. ธนู (Bow)
ธนูถูกใช้โดยทหารพลธนูในกองทัพ เพื่อโจมตีจากระยะไกล
5. เครื่องยิง
อาทิเช่น เครื่องยิงหิน และเครื่องยิงลูกดอก
6. รถรบ
รถรบที่มีม้าใช้เพื่อเคลื่อนที่เร็วในการโจมตี -
Period: 333 to 334
สงครามของฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย
การพิชิตเปอร์เซีย
การรบที่เกรนิคัส (Battle of Granicus) (334 ปีก่อนคริสต์ศักราช): อเล็กซานเดอร์เริ่มต้นการรบกับเปอร์เซียและมีชัย
การรบที่อิสซัส (Battle of Issus) (333 ปีก่อนคริสต์ศักราช): ชัยชนะที่สำคัญทำให้อเล็กซานเดอร์สามารถพิชิตอาณาจักรเปอร์เซียในเวลาต่อมา
การรวมกรีซภายใต้การปกครองของฟิลิปที่ 2 และการพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราชนำไปสู่การแพร่กระจายของวัฒนธรรมกรีกทั่วเอเชียและอียิปต์
อิทธิพลของอารยธรรมกรีกยังคงมีอยู่ในภูมิภาคนี้ในช่วงเฮลเลนิสต์ -
336
ฟิลิปที่2แห่งมาซิโดเนีย
ขึ้นครองราชย์ในปี 336 ปีก่อนคริสต์ศักราช และเป็นกษัตริย์ที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์กรีก เขาได้สร้างอาณาจักรมาซิโดเนียให้มีความเข้มแข็งและรวมกันได้ โดยใช้กลยุทธ์ทางการทหารที่ทันสมัย และการจัดระเบียบทัพอย่างมีประสิทธิภาพ ฟิลิปได้ขยายอาณาเขตของมาซิโดเนียไปทั่วกรีซ และจัดตั้งสหภาพกรีก (Hellenic League) เพื่อต่อสู้กับศัตรูร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเตรียมการทำสงครามกับเปอร์เซีย เขายังเป็นพ่อของอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) ซึ่งสืบทอดการขยายอำนาจต่อไป -
Period: 336 to 338
ข้อมูลสำคัญแห่งฟิลิปที่2ของซีโดเนีย
การปฏิรูปทัพ: ฟิลิปได้ปฏิรูปกองทัพโดยใช้ทหารฟาเลงกซ์ (Phalanx) ซึ่งมีการจัดเรียงทหารในแถวแน่น และใช้หอกยาว (sarissa) ทำให้สามารถโจมตีศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การขยายอาณาเขต: ฟิลิปเริ่มขยายดินแดนของมาซิโดเนียโดยการพิชิตเมืองรัฐในกรีซ เช่น ธีบส์และเอเธนส์ ทำให้มาซิโดเนียกลายเป็นอำนาจที่สำคัญในภูมิภาค
การแต่งงานทางการเมือง: เขาใช้การแต่งงาน
ความสำเร็จในการสงคราม: ฟิลิปมีชัยชนะสำคัญในการรบที่เคอโรเนีย (Battle of Chaeronea) ในปี 338 ปีก่อนคริสต์ศักราช -
Period: 338 to 331
สงครามของฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย
การรบที่เคออน (Battle of Chaeronea) (338 ปีก่อนคริสต์ศักราช): ฟิลิปนำกองทัพมาซิโดเนียเข้าต่อสู้กับพันธมิตรของเอเธนส์และสปาร์ตา ผลลัพธ์คือชัยชนะของมาซิโดเนีย ซึ่งทำให้เขาสามารถรวมกรีซได้ การรบที่กาอูกาเมล่า (Battle of Gaugamela) (331 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
การรบที่สำคัญนี้นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรเปอร์เซียและการก่อตั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของอเล็กซ์ -
359
สงครามฟิลิปที่2แห่งมาซิโด
สงครามของฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย
พื้นหลัง
ฟิลิปที่ 2 ขึ้นครองบัลลังก์มาซิโดเนียในปี 359 ปีก่อนคริสต์ศักราช และพบกับความท้าทายจากภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะ การรวมกรีซ
ยุทธศาสตร์การทูตและการทหาร: ฟิลิปใช้การสมรสทางการเมือง การต่อสู้ที่ชนะ และการซื้อกิจการ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเมืองรัฐกรีก การก่อตั้งสมาคมกรีก
ฟิลิปได้ก่อตั้ง สมาคมกรีก (Hellenic League) โดยมีเป้าหมายในการรวมพลังเพื่อทำสงครามกับเปอร์เซีย การสร้างพันธมิตรนี้ช่วยให้มาซิโดเนียมีอำนาจเหนือเมืองรัฐอื่น ๆ -
400
อริสโตเติล(ด้านศิลปกรรม)
อริสโตเติล (Aristotle) เป็นทั้งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ เขาเป็นศิษย์ที่ชาญฉลาดของเพลโตและเคยเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย อริสโตเติลเป็นทั้งปราชญ์และนักวิจัยที่มีความสนใจหลากหลาย นอกจากปรัชญาทางการเมืองแล้ว เขายังสนใจวิทยาการใหม่ๆ อีกมาก เช่น ชีววิทยา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ หลักตรรกศาสตร์ วาทกรรม จริยศาสตร์ ฯลฯ ผลงานที่โดดเด่นของเขาคือหนังสือชื่อ การเมือง (Politics) ซึ่งเป็นการวิจัยรูปแบบการปกครองของนครรัฐต่างๆ ถึง 150 แห่ง -
404
สงครามเพโลพอนนีเซียน
สงครามเพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian War) เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่แบ่งออกเป็นสามช่วงหลัก โดยเกิดขึ้นระหว่างนครรัฐเอเธนส์และสปาร์ตา รวมถึงพันธมิตรของแต่ละฝ่าย สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วง 431–404 ปีก่อนคริสตกาล รวมระยะเวลาประมาณ 27 ปี -
Period: 413 to 415
สงครามเพโลพรอนนีเซียน
- สงครามซิซิลี (Sicilian Expedition) เกิดขึ้นในช่วง 415–413 ปีก่อนคริสตกาล เอเธนส์พยายามขยายอำนาจไปยังเกาะซิซิลี แต่กองทัพของเอเธนส์ถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้เอเธนส์สูญเสียทรัพยากรและกองทัพจำนวนมาก
-
Period: 413 to 404
สงครามเพโลพอนนีเซียน
- สงครามเดเคเลียน (Decelean War) หรือ สงครามไอโอเนียน (Ionian War) เกิดขึ้นในช่วง 413–404 ปีก่อนคริสตกาล สปาร์ตาได้รับการสนับสนุนจากเปอร์เซีย ทำให้สามารถโจมตีเอเธนส์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการยึดครองเมืองเดเคเลีย (Decelea) ใกล้เอเธนส์ ในปี 404 ก่อนคริสตกาล เอเธนส์ยอมจำนนต่อสปาร์ตา จบสิ้นสงครามเพโลพอนนีเซียนและทำให้สปาร์ตากลายเป็นมหาอำนาจในกรีก สรุป สงครามเพโลพอนนีเซียนเป็นสงครามยาวนานครั้งเดียว แต่อยู่ในสามช่วงสำคัญ โดยจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเอเธนส์และการครอบครองของสปาร์ตา
-
429
เพลโต(ด้านศิลปกรรม)
เพลโต (Plato) เป็นศิษย์เอกของโซเครติส เกิดที่นครเอเธนส์ประมาณ 429 ปีก่อนคริสต์ศักราชและเป็นผู้ถ่ายทอดหลักการและความคิดของโซเครติสให้ชาวโลกได้รับรู้ เพลโตได้เปิดโรงเรียนชื่อ “อะแคเดอมี” (Academy) และได้เขียนหนังสือที่สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการปกครอง การศึกษา ระบบยุติธรรม ผลงานที่โดนเด่นและทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่คือหนังสือชื่อ สาธารณรัฐ (Republic) ซึ่งเสนอแนวคิดในการปกครองประเทศและมีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองของผู้คนทั่วโลก -
Period: 431 to 404
นครรัฐสปาร์ตา
เป็นชื่อเรียกของรัฐอิสระ ของชาวดอเรียน ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่สำคัญของกรีกในยุคโบราณ สปาร์ตามีศูนย์กลางอยู่ที่ลาโอเนีย และมีจุดเด่นที่เน้นการฝึกทหาร จนอาจจะกล่าวได้ว่าสปาร์ตาเป็นรัฐทางทหาร[1] ที่เป็นที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรีกโบราณ -
Period: 431 to 421
สงครามเพโพลาพอนนีเซียน
สงครามแบ่งออกเป็นสามช่วงดังนี้สงครามอาร์คีเดเมียน (Archidamian War)
เกิดขึ้นในช่วง 431–421 ปีก่อนคริสตกาล
ชื่อสงครามนี้มาจากกษัตริย์อาร์คีดามัสที่ 2 แห่งสปาร์ตา เป็นสงครามที่ทั้งสองฝ่ายทำสงครามยืดเยื้อกัน โดยสปาร์ตารุกโจมตีที่ดินของเอเธนส์ ในขณะที่เอเธนส์ใช้กองเรือโจมตีเมืองชายฝั่งของสปาร์ตา
สงครามในช่วงนี้จบลงด้วย สนธิสัญญานีเซียส (Peace of Nicias) ในปี 421 ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นการหยุดสงครามชั่วคราว -
440
ศิลปะสมัยกรีก
500 ปีก่อน พ.ศ. – พ.ศ. 440) ชาวกรีกมีความเชื่อว่า “มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง” ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์ และไม่มี ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ ดังนั้น จึงไม่มีสุสานหรือพิธี ฝังศพที่ซับซ้อนวิจิตรเหมือนกับชาวอียิปต์ ชาวกรีกโบราณมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าและเทพเจ้าที่ชาวกรีกนับถือมีหลายองค์ การสร้างสรรค์งานทางศิลปะส่วนใหญ่มาจากความเชื่อนี้สังเกตได้จาก วิหารที่สร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า รูปปั้น รูปสลัก -
469
โซเครติส(ด้านศิลปกรรม)
โซเครติส (Socrates) เกิดที่นครเอเธนส์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 469-399 ก่อนคริสต์ศักราช เขาสอนให้คนใช้เหตุผลและสติปัญญาในการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ วิธีสอนของเขาซึ่งเรียกว่า “Socretic method” ไม่เน้นการท่องจำ แต่ใช้วิธีตั้งคำถามโดยไม่ต้องการคำตอบ แต่ให้ผู้ถูกถามขบคิดปัญหาเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง แม้โซเครติสจะสั่งสอนลูกศิษย์มากมาย แต่ก็ไม่เคยมีผลงานเขียนของตนเอง ดังนั้นปรัชญาและทฤษฎีของเขาที่รู้จักกันสืบมาจึงเป็นผลงานที่ถ่ายทอดโดยลูกศิษย์ของเขา -
486
สงครามกรีก-เปอร์เซีย
เมื่อจักรพรรดิดาไรอัสสวรรคตในปีที่ 486 ก่อนคริสตกาล เซอร์ซีส พระราชโอรส ได้นำกำลังบุกกรีซอีกครั้ง ชัยชนะที่ช่องเขาเทอร์มอพิลีทำให้ฝ่ายเปอร์เซียสามารถยึดและเผาทำลายเอเธนส์ อย่างไรก็ตาม กองเรือเปอร์เซียพ่ายแพ้อย่างหนักในยุทธนาวีที่ซาลามิส และปีต่อมาพ่ายแพ้ในยุทธการที่พลาตีอา จึงเป็นการสิ้นสุดการบุกครองของฝ่ายเปอร์เซีย หลังจากนั้นกองทัพกรีกฉวยโอกาสนำกองเรือเข้าโจมตีฝ่ายเปอร์เซียต่อในยุทธนาวีที่มิเคลีและขับไล่ทหารเปอร์เซียออกจากเซสทอสและบิแซนเทียม การกระทำของแม่ทัพพอสซาเนียส -
Period: 486 to 492
สงครามกรีกเปอร์เซีย
เพื่อป้องกันการกบฏครั้งใหม่และการแทรกแซง รวมถึงลงโทษการกระทำของเอเธนส์และอีรีเทรีย จักรพรรดิดาไรอัสจึงทำสงครามต่อเพื่อพิชิตกรีซทั้งหมด ฝ่ายเปอร์เซียเริ่มบุกกรีซในปีที่ 492 ก่อนคริสตกาล และประสบความสำเร็จในการยึดเธรซและมาซิดอน -
490
สงครามกรีก-เปอร์เซียครั้งที่2
การบุกครั้งที่สองเริ่มในปีที่ 490 ก่อนคริสตกาล นำโดยแม่ทัพดาติสและอาร์ตาเฟอร์เนส ทัพเปอร์เซียยกไปที่เกาะนักซอสก่อนจะยึดและเผาเมือง ต่อมายึดหมู่เกาะซิคละดีสและทำลายเมืองอีรีเทรีย ระหว่างยกทัพต่อไปยังเอเธนส์ในแอตติกา ทัพเปอร์เซียได้ปะทะกับทัพกรีกที่มีจำนวนน้อยกว่าที่ที่ราบมาราธอน ทัพเปอร์เซียพ่ายแพ้และยกกลับเอเชีย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเปอร์เซียประสบความสำเร็จในการโจมตีนักซอส อีรีเทรียและแผ่อำนาจไปในภูมิภาคอีเจียน จักรพรรดิดาไรอัสได้รวบรวมกำลังพลเพื่อเตรียมบุกกรีซอีกครั้ง -
492
สงครามกรีก-เปอร์เซียครั้งที่1
การบุกครองกรีซครั้งที่หนึ่งของเปอร์เซีย เกิดขึ้นในช่วงสงครามกรีก-เปอร์เซีย ระหว่างปีที่ 492–490 ก่อนคริสตกาล โดยจักรพรรดิดาไรอัสมหาราชต้องการลงโทษนครรัฐเอเธนส์และอีรีเทรียที่สนับสนุนการก่อกบฏของเมืองไอโอเนีย รวมถึงต้องการขยายจักรวรรดิไปในทวีปยุโรป การบุกแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกเริ่มในปีที่ 492 ก่อนคริสตกาล นำโดยแม่ทัพมาร์โดเนียส ทัพเปอร์เซียสามารถยึดเธรซคืนกลับมาและบังคับให้มาซิดอนอยู่ใต้อำนาจหลังเป็นประเทศราชมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล[1] -
499
สงครามกรีก-เปอร์เซียสาเหตุ
สงครามกรีก-เปอร์เซีย (อังกฤษ: Greco-Persian Wars) หรือ สงครามเปอร์เซีย เป็นชุดความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิอะคีเมนิด (เปอร์เซีย) กับนครรัฐกรีก เกิดขึ้นระหว่างปีที่ 499–449 ก่อนคริสตกาล จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งเกิดจากการพิชิตภูมิภาคไอโอเนียของพระเจ้าไซรัสมหาราชในปีที่ 547 ก่อนคริสตกาลและต่อมาแต่งตั้งทรราชขึ้นปกครอง ต่อมาในปีที่ 499 ก่อนคริสตกาล อริสตาโกรัส ผู้ปกครองไมลีตัสที่มีเปอร์เซียหนุนหลัง[2] -
500
• รูปแบบการปกครองของอารยธรรมกรีก (ระบอบทรราชย์ )
เดิมทีคำว่า ทรราชย์ ไม่ได้มีความหมายในเชิงที่ไม่ดีและเลวร้ายเหมือนในปัจจุบัน โดยในช่วงเวลานั้น ทรราชย์จะหมายถึง บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ประชาชนให้การสนับสนุน ในการโค่นล้มอำนาจของคณาธิปไตย ก่อนที่บุคคลผู้นั้น จะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวผู้ที่เป็นทรราชย์ มีทั้งคนที่ดีมีความสามารถ และบางคนก็เป็นคนที่เลวและกดขี่ประชาชน ตัวอย่างเช่น โซลอน (Solon) หรือ ไพซิสตราตัส (Peisistratus) นักปฏิรูปคนสำคัญของนครรัฐเอเธนส์ ซึ่งทั้งสองคนก็เป็นทรราชย์เช่นกัน -
Period: 500 to 440
ศิลปะสมัยกรีก
ชาวกรีกมีความเชื่อว่า "มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง" ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์ และไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ ดังนั้น จึงไม่มีสุสานหรือพิธี ฝังศพที่ซับซ้อนวิจิตรเหมือนกับชาวอียิปต์ -
570
รูปแบบการปกครองอารยธรรมกรีก(ระบอบประชาธิปไตย)
ระบอบประชาธิปไตย ถือกำเนิดขึ้นโดยนักปฏิรูปคนสำคัญของนครรัฐเอเธนส์นามว่า ไคลส์ธีนีส ผู้ที่ได้รับสมญานามว่า "บิดาแห่งประชาธิปไตย"ประชาธิปไตยของกรีกในช่วงเวลานั้น ประชาชนทุกคนจะมีสิทธิ์ทางการเมือง จำนวนของประชาชนที่มากจนเกิดไป ทำให้ประชาธิปไตยโดยตรง ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงนำไปสู่การพัฒนาเป็น "ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน"ที่ประชาชนจะทำการเลือกผู้แทนของตน เพื่อใช้อำนาจในการปกครองแทน ซึ่งประชาธิปไตยในรูปแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นต้นแบบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน -
600
ยุคสมัยคลาสลิก
สมัยคลาสสิกถือกันว่าเริ่มขึ้นเมื่อมีการบันทึกวรรณกรรมกรีกเป็นครั้งแรกที่เริ่มด้วยมหากาพย์ของโฮเมอร์ ราวศตวรรษที่ 8 ถึง 7 ก่อนคริสต์ศตวรรษ และดำเนินต่อมาจนกระทั่งถึงสมัยการเผยแพร่ของคริสต์ศาสนาและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนมาสิ้นสุดลงในปลายสมัยโบราณตอนปลาย ราว ค.ศ. 300–600 -
776
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
กลับสู่รากฐาน: การแข่งขันในปี 2004 แสดงถึงการกลับสู่รากฐานของกีฬาโอลิมปิก เนื่องจากกรีซเป็นประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 776 ปีก่อนคริสต์ศักราช เฉลิมฉลอง 108 ปี: ปี 2004 เป็นการเฉลิมฉลอง 108 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1896 -
Period: 776 to
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
การแข่งขัน
จำนวนกีฬา: มีการแข่งขันในกีฬา 28 ชนิด โดยมีนักกีฬาจากกว่า 200 ประเทศเข้าร่วม
เหรียญรางวัล: กรีซสามารถคว้าเหรียญทองได้ 6 เหรียญ, เหรียญเงิน 6 เหรียญ, และเหรียญทองแดง 4 เหรียญ รวมทั้งสิ้น 16 เหรียญ ความสำเร็จของนักกีฬา
นักกีฬาที่โดดเด่น: นักกีฬากรีก เช่น ฟานนี สตาฟิโลปูลู (Fani Chalkia) ที่คว้าเหรียญทองในกรีฑา, และนักกีฬาที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนกีฬา -
Period: 776 to
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
ปัญหาและความท้าทาย
ความล่าช้าในการก่อสร้าง: มีความล่าช้าในการก่อสร้างสนามกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเตรียมการ
ปัญหาทางการเงิน: ประเทศกรีซประสบปัญหาทางการเงินหลังจากการแข่งขัน ซึ่งทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้จ่ายในโอลิมปิก มรดกทางวัฒนธรรม
ส่งเสริมการท่องเที่ยว: กีฬาโอลิมปิกในปี 2004 ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในกรีซและทำให้ประเทศได้รับความสนใจจากทั่วโลก
มรดกทางกีฬา: การแข่งขันครั้งนี้ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนากีฬาท้องถิ่นและสร้างความรักในกีฬา -
800
รูปแบบการปกครองของอารยธรรมกรีก(ระบอบคณาธิปไตย)
คณาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครอง ที่มีกลุ่มคนหรือคณะใดคณะหนึ่ง มีอำนาจในการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ โดยมาจากคำว่า "Oligos" ที่แปลว่า ส่วนน้อย กับคำว่า "Arkhein" ที่แปลว่า ปกครอง ดังนั้นคณาธิปไตย จึงแปลว่า การปกครองโดยคนส่วนน้อยท้ายที่สุด ระบอบคณาธิปไตยก็ล่มสลายลง อันเนื่องมาจากการแย่งชิงอำนาจกันเองภายในกลุ่มอภิสิทธิ์ชน รวมไปถึงการต่อต้านของประชาชน ที่ถูกคณาธิปไตยกดขี่มานาน ท้ายที่สุดระบอบการปกครองแบบใหม่ ก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งส่วนใหญ่กลุ่มคณะที่มีอำนาจนี้ จะเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ซึ่งเป็นขุนนางคนชั้นสูง -
800
ยุคมืด (ประมาณ 1100-800 ปีก่อนคริสต์ศักราช): การล่มสลายของเมืองไมซีนีทำให้เกิดการลดลงของประชากรและวัฒนธรรม การสูญเสียการเขียน แต่มีการพัฒนาตำนานและเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา
ยุคมืดของกรีก (ประมาณ 1100-800 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญแต่มีข้อมูลจำกัดมาก เนื่องจากการสูญเสียการเขียนและการบันทึก ประเด็นสำคัญ- การล่มสลายของไมซีนี หลังจากการล่มสลายของอารยธรรมไมซีนี สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ มีการสูญเสียศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจ
- การลดลงของประชากร ประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
- การสูญเสียการเขียน ระบบการเขียน Linear B หายไป การบันทึกประวัติศาสตร์และข้อมูลต่าง ๆ ถูกแทนที่ด้วยการเล่าขาน
-
Period: 800 to 1100
ยุคมืด (ประมาณ 1100-800 ปีก่อนคริสต์ศักราช): การล่มสลายของเมืองไมซีนีทำให้เกิดการลดลงของประชากรและวัฒนธรรม การสูญเสียการเขียน แต่มีการพัฒนาตำนานและเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา
- การเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ กลับไปสู่การเกษตรพื้นฐานและการเลี้ยงสัตว์ ชีวิตในชุมชนมีการรวมตัวกันมากขึ้น
- การสร้างตำนาน การเล่าเรื่องและตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าและวีรบุรุษเริ่มเฟื่องฟู เช่น ตำนานของอุสเซอุสและเฮอร์คิวลิส
- การตั้งรากฐานสำหรับยุคคลาสสิก ยุคมืดเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการฟื้นฟูในยุคคลาสสิก ซึ่งต่อมาได้พัฒนาวัฒนธรรมกรีกอย่างเต็มที่
-
1000
ประวัติความเป็นมาของเครื่องปั้นดินเผากรีก
เครื่องปั้นดินเผากรีกพัฒนามาจาก ประเพณี ชาวไมซีเนียน โดยยืมทั้งรูปแบบหม้อและการตกแต่ง รูปทรงที่เก่าแก่ที่สุด
คือเรขาคณิตยาวนานจากประมาณ 1000-700 คริสตศักราช เกิดการการเปลี่ยนแปลงของของรูปทรง โปรโต – เรขาคณิตจากรูปแบบไมซีเนียน ในช่วงนี้พื้นผิวของหม้อถูกปกคลุมไปด้วยเครือข่ายของลวดลายที่สวยงามซึ่งวงกลมและส่วนโค้งมาก -
Period: 1000 to 700
ประวัความเป็นเครื่องปั้นดินเผา
เครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์พบว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยหินกลาง หรือสังคมล่าสัตว์ ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่พิถีพิถันนัก โดยใช้มือปั้นขึ้นรูปอย่างอิสระ จากนั้นได้พัฒนาให้มีความประณีต สวยงามขึ้น โดยใช้แป้นหมุนช่วยในการขึ้นรูป และตกแต่งผิวภาชนะด้วยการขัดผิวให้ มัน ประดับลวดลายด้วยกรรมวิธีต่างๆ -
1100
ดอเรียน
ต่อมาประมาณปี 1100 ก่อนคริสต์ศักราช พวกกรีกอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ดอเรียน (Dorians) ซึ่งอพยพมาจากทางเหนือและ ขยายอำนาจครอบครองดินแดนของพวกไมซีเนียน พวกนี้ได้สร้างนครรัฐสปาร์ตาเป็นศูนย์กลางปกครองของตน พวกดอเรียนมี ความเจริญน้อยกว่าไมซีเนียนและไม่รู้หนังสือ จึงไม่มีหลักฐานที่กล่าวถึงดินแดนกรีกภายใต้อิทธิพลของพวกดอเรียนในช่วงปี 1100-750 ก่อนคริสต์ศักราชมากนัก จนกระทั่งประมาณปี 750 ก่อนคริสต์ศักราช -
1100
ยุคไมซีนี (ประมาณ 1600-1100 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ภูมิศาสตร์และสังคม
ยุคไมซีนีเกิดขึ้นในบริเวณกรีซและเกาะต่าง ๆ เช่น ครีตและไซปรัส
สังคมมีลักษณะเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ที่มีผู้นำที่เรียกว่า "ราชา" ซึ่งปกครองโดยระบบชนชั้น
2. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจมีพื้นฐานมาจากการเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ และการค้าขาย โดยมีการใช้ระบบแลกเปลี่ยน
มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผา โลหะ และสิ่งทอ
3. วัฒนธรรมและศิลปะ
มีการสร้างวังใหญ่ เช่น ที่นครไมซีนี (Mycenae) และนครธีบส์ (Thebes)
ศิลปะสถาปัตยกรรมมีความก้าวหน้า เช่น การสร้างประตูสิงโตและการตกแต่งด้วยภาพวาด -
Period: 1100 to 750
ดอเรียน
ตามตำนานปรัมปราของกรีก ชาวดอเรียนเข้ามาถือกรรมสิทธิในแผ่นดินเพโลพอนนีส เนื่องจากเหตุการณ์ที่มีชื่อว่า การกลับมาของพวกเฮราไคลดีหรือ พวกเฮราคลิดส์ (Heraclids) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นลูกหลานของฮีโร่เฮราคลีส นักวิชาการคลาสสิกเชื่อว่าตำนานนี้อาจจะเป็นเหตุการณ์จริง แต่ทว่าแนวคิดเรื่องการรุกรานของชาวดอเรียนก็เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง เพราะทั้งนักนิรุกติศาสตร์ และนักโบราณคดีต่างก็อ้างเหตุการณ์นี้ มาอธิบายการสะดุดและขาดความต่อเนื่องของอารยธรรมไมซีนี -
Period: 1100 to
ยุคไมซีนี (ประมาณ 1600-1100 ปีก่อนคริสต์ศักราช
- ภาษาและการเขียน ระบบการเขียนที่ใช้คือ "Linear B" ซึ่งเป็นระบบอักษรที่ใช้ในการบันทึกบัญชีและการบริหาร ภาษาเป็นภาษากรีกยุคโบราณ
- ศาสนา ความเชื่อในเทพเจ้าและพิธีกรรมมีบทบาทสำคัญ โดยมีการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ เช่น ซุสและเฮรา
- การล่มสลาย ยุคไมซีนีสิ้นสุดลงอย่างลึกลับประมาณ 1100 ปีก่อนคริสต์ศักราช อาจเกิดจากสงคราม การขาดแคลนทรัพยากร หรือภัยธรรมชาติ
- ผลกระทบ ความรู้และวัฒนธรรมจากยุคไมซีนีมีอิทธิพลต่อยุคหลัง เช่น ยุคโบราณคลาสสิก
-
1120
อารยธรรมกรีกสมัยประวัติศาสตร์
อารยธรรมกรีกเป็นอารยธรรมเก่าแก่ เรื่องราวเกี่ยวกับกรีกในระยะแรกๆ ค่อนข้างเลือนราง มีลักษณะเป็นนิยายปรับปรา จากการสำรวจค้นคว้าของนักโบราณคดี ทราบว่าอารยธรรมกรีกปรากฏครั้งแรกที่เกาะครีต ในทะเลอีเจียน ระหว่าง 1,120-800 ปีก่อนคริศต์ศักราช ถือเป็นยุคมืดของอารยธรรมกรีก การค้าขายที่เคยรุ่งเรืองในอดีตได้มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายแทน ชาวกรีกกลายเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ ต้องไปยืมตัวอักษรอัฟเบตจากพวกฟินิเซียนมาดัดแปลง การปกครองของกรีกหลัง 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือที่เรียกว่ายุคคลาสสิก -
Period: 1120 to 800
อารยธรรมกรีกสมัยประวัติศาสตร์
อารยธรรมกรีกเป็นอารยธรรมเก่าแก่ เรื่องราวเกี่ยวกับกรีกในระยะแรกๆ ค่อนข้างเลือนราง มีลักษณะเป็นนิยายปรับปรา จากการสำรวจค้นคว้าของนักโบราณคดี ทราบว่าอารยธรรมกรีกปรากฏครั้งแรกที่เกาะครีต ในทะเลอีเจียน -
1200
สงครามกรุงทรอย
สงครามกรุงทอยเป็นเหตุการณ์ที่มีอยู่ในตำนานและไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน แต่ตามการประมาณการจากนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดี สงครามนี้มักถูกกล่าวว่าเกิดขึ้นประมาณศตวรรษที่ 12 ถึง 13 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณ 1200-1250 ปีก่อนคริสต์) อย่างไรก็ตาม การค้นพบทางโบราณคดีที่เมืองทรอย (Troy) ในตุรกีได้เปิดเผยหลักฐานที่แสดงถึงการมีอยู่ของเมืองและสงครามในช่วงเวลานั้น แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำนานนั้นตรงกับความเป็นจริงในประวัติศาสตร์ -
Period: 1200 to 1250
สงครามกรุงทรอยสาเหตุ
สงครามกรุงทอยมีสาเหตุหลักจากการลักพาตัวเฮเลน (Helen) ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งเป็นภรรยาของเมเนลอัส (Menelaus) กษัตริย์แห่งสปาร์ตา โดยปารีส (Paris) เจ้าชายแห่งทรอยได้ลักพาตัวเธอความขัดแย้งระหว่างอำนาจ: ชาวกรีกมีการแข่งขันและความขัดแย้งกันเอง ซึ่งการขัดแย้งนี้ทำให้เกิดการรวมตัวกันของกษัตริย์ต่างๆ เพื่อตอบโต้การกระทำของทรอย การตัดสินใจของพระเจ้าหรือเทพเจ้า: ในตำนานกล่าวถึงการมีส่วนร่วมของเทพเจ้าในเหตุการณ์นี้ อย่างเช่น เฮรา อธีน่าและอาฟรอไดท์ -
1400
ที่ตั้งอารยธรรมกรีกเกิดขึ้นบริเวณใด
ที่ตั้ง อารยธรรมกรีกเกิดขึ้นในบริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรบอลข่านและชายฝั่งทะเลอีเจียน ซึ่งกั้นระหว่างคาบสมุทร บอลข่านและเอเชียไมเนอร์ บริเวณเหล่านี้อยู่ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งรายรอบด้วยอารยธรรมสำคัญของโลก คืออารยธรรม อียิปต์และเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ใกล้กับเกาะครีตซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมไมนวน ประมาณปี 2000-1400 ก่อนคริสต์ศักราช) ที่เกิดจากการผสมผสานอารยธรรมของดินแดนในแถบรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ชาวกรีกสมัยโบราณมีโอกาสรับและแลกเปลี่ยนความเจริญด้านต่างๆ -
• รูปแบบการปกครองของอารยธรรมกรีก
ราชาธิปไตย คือระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองสูงสุด ถือได้ว่าเป็นระบอบการปกครองแบบแรก และมีความเก่าแก่มากที่สุดของอารยธรรมกรีก รวมไปถึงในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งในช่วงนั้น แต่ละนครรัฐของกรีก (โพลิส Polis) ก็ล้วนปกครองแบบราชาธิปไตยทั้งสิ้นในระบอบราชาธิปไตย กษัตริย์จะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแต่เพียงผู้เดียว กษัตริย์มีหน้าที่หลายอย่าง อาทิ การออกและบัญญัติกฎหมาย ,พิพากษาในคดีความต่าง ๆ และเป็นผู้นำในทางศาสนาและพิธีกรรม จนกระทั่งในช่วง 800 ปีก่อน -
ชาวกรีกโบราณ
ชาวกรีกโบราณ ชาวกรีกโบราณเรียกตัวเองว่า “เฮลลีน” (Hellene) เป็นพวกอินโด-ยูโรเปียนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจากทางตอนเหนือของประเทศกรีซปัจจุบันเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในระยะแรก กระจายอยู่เป็นเผ่าต่างๆ ในคาบสมุทรบอลข่านและเขตทะเลอีเจียน ที่สำคัญได้แก่ พวกไอโอเนียน (Ionians) และพวกไมซีเนียน (Mycenaeans) โดยทั่วไปชาวกรีกโบราณประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเดินเรือ ต่อมาเผ่าที่มีความเจริญได้ขยายอำนาจและก่อตั้งเป็นนครรัฐ -
การก่อตั้งอารยธรรมไมซีนี3000-2000ปีก่อนคริสต์ศักราช
สถานที่: ตั้งอยู่ในภูมิภาคกรีกตอนใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เรียกว่า "ไมซีนี" ซึ่งรวมถึงเมืองต่าง ๆ เช่น ไมซีนี, ทรอย, และโบราณสถานอื่น ๆ โครงสร้างสังคม: สังคมไมซีนีมีโครงสร้างแบบพระราชา และขุนนาง ที่มีอำนาจสูงสุด พระราชาเป็นผู้นำในการตัดสินใจและมีอำนาจเหนือทรัพยากร ระบบการค้า: การค้าเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ ไมซีนีมีการติดต่อค้าขายกับอารยธรรมอื่น ๆ เช่น อียิปต์และเมโสโปเตเมีย เมืองและสถาปัตยกรรม: เมืองไมซีนีมีการสร้างปราสาทที่มีความแข็งแรง เช่น ปราสาทไมซีนี มีการใช้หินขนาดใหญ่ -
Period: to 1400
ที่ตั้งอารยกรีกเกิดขึ้นบริเวณใด
ที่ตั้ง อารยธรรมกรีกเกิดขึ้นในบริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรบอลข่านและชายฝั่งทะเลอีเจียน ซึ่งกั้นระหว่างคาบสมุทร บอลข่านและเอเชียไมเนอร์ บริเวณเหล่านี้อยู่ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งรายรอบด้วยอารยธรรมสำคัญของโลก คืออารยธรรม อียิปต์และเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ใกล้กับเกาะครีตซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมไมนวน -
Period: to
การก่อตั้งอารยธรรมไมซีนี3000-2000ปีก่อนคริสต์ศักราช
การเขียน: การใช้ระบบการเขียนที่เรียกว่า "Linear B" ซึ่งเป็นรูปแบบการเขียนที่ใช้สำหรับบันทึกภาษากรีกโบราณ
ตำนานและวรรณกรรม: ไมซีนีมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมและตำนานกรีก เช่น ตำนานเกี่ยวกับสงครามทรอย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและค่านิยมของสังคมในยุคนั้น งานศิลปะ: มีการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สะท้อนถึงชีวิตประจำวันและความเชื่อ เช่น ภาพวาดบนภาชนะและประติมากรรม
พิธีกรรมและศาสนา: มีการบูชาเทพเจ้าและการทำพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อศาสนาในยุคต่อมา -
งานประติมากรรมของกรีก(รูปสลักของเทพีอธีนา)
ปัจุบันรูปสลัดของเทพีอธีนาได้สูญสายหายไปตาลกาลเวลาและถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยจำลองภาพขนาดเท่าเดิมทุกประการปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองแนชวอลล์สหรัฐอเมริกากล่าวกันว่าประติกรรมรูปสลักของเทพอธีนใช้เงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของการก่อสร้างทั้งหมดของวิหารพาธีนอนซึ่งมีอายุมายาวนานกว่า2500ปีและเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของประเทศกรีก -
สถาปัตยกรรมกรีกของอารยธรรมกรีท
สถาปัตยกรรมกรีก เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มชนรุ่นแรกได้อพยพเข้าสู่คาบสมุทรกรีก สถาปัตยกรรมของกลุ่มชนเหล่านี้มีลักษณะเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าสนใจเมื่อเทียบกับ ชาวกรีกยุคคลาสสิก พวกเขาก่อสร้างบ้านเรือนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปทรงกลม รูปทรงไข่ รูปทรงสี่เหลี่ยม วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมักทำมาจากโคลน โดยปราศจากการใช้ปูนในการก่อสร้าง ภายในบ้านส่วนใหญ่จะมีเพียงแค่ห้องเดียวชาวกรีกโบราณมีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่มานานกว่าพันปีในครีต สถาปัตยกรรมมิโนอันมีให้เห็นกันมาก -
เมืองเอเธนส์
เป็นเมืองหลวงของประเทศกรีซ และยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศกรีซ ใช้ชื่อตามพระเจ้าอะธีนาในปุราณวิทยา เป็นหนี่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยกินช่วงระยะเวลามากกว่า 3,400 ปี[5] และมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ประมาณช่วงสหัสวรรษที่ 11 -
ต้นกำเนิดการเกิดอารยธรรมกรีกhttps://nannylove.wordpress.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4/
อารยธรรมกรีกเกิดขึ้นเมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว เป็นอารยธรรมเก่าของแหลมอิตาลี เกิดบนแผ่นดินกรีกในทวีปยุโรป และบริเวณชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถือเป็นอารยธรรมตะวันตกและอารยธรรมสมัยใหม่ อารยธรรมที่เจริญขึ้นในนครรัฐกรีกมีศูนย์กลางที่สำคัญในนครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ตา