-
10,000 BCE
ศิลปะยุคหินใหม่
ศิลปะในยุคหินใหม่สะท้อนถึงการพัฒนาในวิถีชีวิตของมนุษย์ โดยแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านการเกษตร, การจัดการทรัพยากร, และความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่าทางศิลปะและวัฒนธรรม -
3000 BCE
ศิลปะยุคหิน 10000ปีก่อนคริสตกาล
ประกอบด้วยภาพเขียนและการแกะสลักบนผนังถ้ำ เช่น ภาพเขียนถ้ำที่ลาสโกซ์ในฝรั่งเศสและอัลตาฮิย่าในสเปน ซึ่งมักแสดงภาพของสัตว์ป่าและกิจกรรมการล่าสัตว์ -
2181 BCE
การเเต่งกายยุคเเรกสมัยโอลด์คิงดอม
ฟาโรห์และชนชั้นสูงมักจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าลินินคุณภาพสูง ซึ่งมักจะเป็นชุดที่ทออย่างประณีตและตกแต่งด้วยเครื่องประดับทองคำและอัญมณี ชุดของฟาโรห์มักมีการตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือเทพเจ้า เช่น พิธีปลงศพต่าง ๆ -
370 BCE
ศิลปะยุคหินกลาง
ศิลปะในยุคหินกลางเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างการใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนในยุคหินเก่าไปสู่การตั้งถิ่นฐานถาวรในยุคหินใหม่ โดยสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการจัดการทรัพยากรและสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น -
350 BCE
ศิลปะกอทิก
ศิลปะกอทิกเริ่มต้นจากฝรั่งเศสและแพร่หลายไปยังประเทศอื่น ๆ และมีลักษณะตามภูมิภาคนั้น ๆ ด้วย ลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรมมีผนังเปิดกว้าง มีส่วนสูงเด่นเป็นพิเศษและมีแบบที่ออกมาเป็นลายเส้นอันซับซ้อน ทุกส่วนล้วนประกอบเข้าด้วยกันเป็นสัญลักษณ์นิยม ทางศาสนา โครงสร้างหลังคาเป็นโค้งแหลม -
400
ศิลปะยุคอียิปต์โบราณ
การสร้างพีรามิดเเละศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเเละฟาโรห์ -
413
ศิลปะยุคเมโสโปเตเมีย
การสร้างสถาปัตยกรรมสำคัญเช่นมหาวิหารซิกกูรัตเเละภาพสลักที่บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ศิลปะการสลักหินและศิลาจารึกมีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำบันทึกสำคัญเช่นกฎของฮัมมูราบีซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จัก -
455
ศิลปะไบแซนไทน์
ศิลปะไบแซนไทน์เป็นศิลปะที่มีลักษณะเชื่อมโยงความคิด และรูปแบบระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ศิลปะมีลักษณะใหญ่โต ประดับตกแต่งด้วยการใช้พื้นผิว งานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดของไบแซนไทน์ คือการทำหลังคาเป็นรูปกลมต่างจากหลังคาของศิลปะโรมัน ที่ทำเป็นรูปโค้งหลังคากลมแบบไบแซนไทน์ ภายนอกเรียกว่าโดม หลังคากลมช่วยให้สามารถสร้างอาคารได้ใหญ่โตมากขึ้น สิ่งก่อสร้างที่เป็นแบบฉบับของศิลปะดังกล่าว ได้แก่ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล โบสถ์เซนต์มาร์โค -
500
ศิลปะยุคโรมัน
ศิลปะโรมัน (พ.ศ. 340 - พ.ศ. 870) แบบอย่างศิลปะโรมันปรากฏลักษณะชัดเจนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 4 เรื่อยมาจนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 1040 โดยในช่วงเวลาหลังได้เปลี่ยนสาระเรื่องราวใหม่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ สืบต่อมาเป็นเวลาอีกนานมาก จนกระทั่งเมื่อกรุงคอนสะแตนติโนเปิลได้กลายเป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมัน ในปี พ.ศ. 870 ทำให้สมัยแห่งโรมันต้องสิ้นสุดลง แหล่งอารยธรรมสำคัญของโรมัน คือ อารยธรรมกรีกและอีทรัสกัน -
518
การเเต่งกายสมัยสุ่ยเเละสมัยถัง
เสื้อผ้าสมัยสุ่ยเเละสมัยถังมีรูปเเบบมีเนื้อผ้าที่ใกล้เคียงกันสูง เสื้อผ้าต้นสมัยสุ่ยข้อนข้างจะเรียบง่ายเสื้อผ้ายังคงมีลักษณะกี่เพ้าหรือเสื้อคลุมยาว -
600
ศิลปะยุคฮิบรู
ศิลปะของชาวฮิบรูถูกจำกัดโดยข้อห้ามทางศาสนาที่ระบุในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมซึ่งห้ามไม่ให้สร้างภาพลักษณ์หรือรูปปั้นของพระเจ้าและเทพเจ้าดังนั้นศิลปะฮิบรูจึงเน้นไปที่การตกแต่งแบบเรขาคณิตหรือการใช้ลวดลายธรรมชาติแทน -
622
ศิลปะยุคอิสลาม
การพัฒนาศิลปะในรูปเเบบของการออกเเบบที่ไม่ใช่ภาพของมนุษย์เช่นลวดลายเรขาคณิตเเละการตกเเต่สถาปัตยกรรมการพัฒนาศิลปะในรูปเเบบของการออกเเบบที่ไม่ใช่ภาพของมนุษย์เช่นลวดลายเรขาคณิตเเละการตกเเต่งสถาปัตยกรรม -
700
ศิลปะบาบิโลน
สิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือสวนลอยแห่งบาบิโลน โดยสร้างสวนให้สูงจากพื้นดิน ใช้อิฐซ้อนกันขึ้นไป วางผังลดหลั่นกันและมีความสลับซับซ้อน ตามซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับด้วย ภาพสลักขนาดมหึมา ปัจจุบันสวนแห่งนี้ถูกทับถมปรักหักพังไปหมดแล้ว เหลือเฉพาะฐานรากบางส่วนเท่านั้น -
753
การเเต่งกายยุคโรมันโบราณ
เป็นเสื้อคลุมยาวคล้ายคิตอนของชาวกรีก สวมใส่โดยทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยผู้ชายจะสวมทูนิกที่ยาวถึงเข่า ส่วนผู้หญิงจะสวมที่ยาวถึงข้อเท้า ทูนิกของชนชั้นสูงมักทำจากผ้าคุณภาพดีและมีสีสันหรือลายที่บ่งบอกสถานะทางสังคม -
800
การเเต่งกายศิลปะยุคกรีกโบราณ
เป็นเสื้อคลุมยาวที่ผู้ชายและผู้หญิงสวมใส่ มีลักษณะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมยาว พับขึ้นจากด้านบนและมัดด้วยเข็มกลัดที่ไหล่ ขอบผ้าด้านล่างจะปล่อยยาวถึงพื้น นิยมใส่ในงานพิธีสำคัญหรือการออกสังคม -
800
ศิลปะยุคกรีกโบราณ
ศิลปะกรีกโบราณ หรือ ศิลปะกรีซโบราณ (750 ปีก่อน ค.ศ. - 300 ปีก่อนค.ศ.) ชาวกรีกมีความเชื่อว่า "มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง" ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์ และไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ ดังนั้น จึงไม่มีสุสานหรือพิธี ฝังศพที่ซับซ้อนวิจิตรเหมือนกับชาวอียิปต์ -
900
ศิลปะอัสซิเรียน
ศิลปกรรมงานแกะสลักที่มีชื่อเสียง เป็นรูปสิงโตกำลังกัดเด็กหนุ่มพบในพระราชวังเมืองนิมรุดในอัสซิเรีย งานชิ้นนี้ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติซกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ประติมากรรมลอยตัวชิ้นสำคัญที่ติดตั้งตามทางเข้าพระราชวังมีขนาดใหญ่โต เป็นรูปสิงโตมีปีก (Winged Lion) ส่วนงานสถาปัตยกรรมของอัสซิเรียน มีอาคารก่ออิฐเป็นโครงสร้างหลัก เป็นรูปโค้งรับน้ำหนักและใช้อิฐและหินก่อเป็นกำแพง ตกแต่งภายในด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง และกระเบื้องเคลือบเป็นรูปสิงโต -
1000
ศิลปะเปอร์เซีย
อารยธรรมของเปอร์เซียมีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งภายในอย่างสวยงาม มีงานประติมากรรมใช้ในการตกแต่งสถาปัตยกรรม ได้แก่ เสาหินวัวคู่ ประดับพระราชวังที่เมืองเปอร์เซโปลิส (Persepolis) -
1000
การเเต่งกายยุคกลางต้น
เสื้อผ้าหลักสำหรับผู้ชาย เป็นเสื้อยาวคลุมถึงเข่าหรือยาวกว่า ทำจากขนสัตว์หรือผ้าลินิน โดยมักจะคาดเข็มขัดรัดที่เอวเพื่อความกระชับ บางครั้งมีการสวมเสื้อทับอีกชั้นหนึ่งในฤดูหนาว -
1020
การเเต่งกายสมัยอาณาจักรใหม่
ในยุคอาณาจักรใหม่นี้อียิปต์เจริญรุ่งเรืองในทุกด้านทั้งสรรพวิทยาและศิลปะชาวอียิปต์ รู้จักนำเอาผมของมนุษย์และขนสัตว์มาทำผมปลอม หนวดปลอมรู้จักทำเครื่องประดับการแต่งกาย โดยใช้โลหะหินสี ลูกปัด รู้จักทำเครื่องสำอางเช่น น้ำหอม แป้ง น้ำมันชะโลมผม และรู้จักทำรองเท้าจากต้นปาล์ม เป็นต้น ผู้ชายชาวอียิปต์ยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยอาณาจักรกลาง ส่วนผู้หญิงนิยมสวมชุดยาวกรอมเท้า แขนสั้นคลุมข้อศอก สำหรับกษัตริย์ -
1040
ศิลปะคริสเตียนยุคเเรก
ศิลปะคริสเตียนหรือเรียกได้ว่าศิลปะยุคโบราณ ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะโรมัน เป็นศิลปะศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปแบบและภาพมาจากศาสนาคริสต์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อแสดงความหมาย และแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลักของศาสนาคริสต์ นิกายของศาสนาคริสต์ ซึ่งประติมากรรมที่เก่าแก่ที่สุดคือ งานสลักบนโลงหิน -
1100
ศิลปะยุคโรมาเนสก์
การสร้างโบสถ์เเละอารามที่มีลักษณะดั้งเดิมเเละเเข็งเเกร่งโบสถ์และวิหารที่สร้างขึ้นในยุคนี้มีลักษณะโครงสร้างที่มั่นคงโดยทั่วไปมีพื้นฐานแบบอารามพร้อมกับการใช้โครงสร้างอิฐและหินเช่นโบสถ์เซนต์ซาเวียร์ในฝรั่งเศสโครงสร้างจะมีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงโดม หรือทรงกรวยและเสาโรมันที่มักจะตกแต่งด้วยลวดลายที่ประณีต -
1240
การเเต่งกายสมัยอาณาจักรกลาง
ผู้ชายยังคงนุ่งผ้าชิ้นเดียวแต่นุ่งหลายชั้นซ้อนกันโดยเล่นระดับผ้าให้สั้นยาวลดหลันมองดูคล้ายสามเหลี่ยมชั้นในสุดนุ่งกางเกงขาสั้น ผู้หญิงยังคงแต่งกายเหมือนอาณาจักรโบราณ สำหรับเครื่องแต่งกายของกษัตริย์และพระราชินีทรงเสื้อยาวถึงข้อเท้าเป็นรูปตัวทีเรียกว่า”ทูนิค” (Tunic) ตกแต่งเครื่องประดับ -
1250
ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
ศิลปินสร้างสรรค์ในรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามที่เป็นศิลปะแบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุด ซึ่งพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมัน ความสำคัญของศิลปะสมัยฟื้นฟู มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ศิลปะเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนภาพ การใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (Composition) หลักกายวิภาค (Anatomy) การเขียนภาพทัศนียวิทยา (Perspective Drawing) -
1250
การเเต่งกายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
ชุดเน้นความหรูหราและการใช้ผ้ากำมะหยี่ ผ้าไหม ชายสวมชุดสูทคล้ายทหาร หญิงสวมกระโปรงบานยาว -
1279
การเเต่งกายสมัยซ่ง
ชุดพื้นฐานมักจะเป็นเสื้อคลุมยาวที่เรียกว่า "จี" (ji) หรือ "จีเหิง" (ji heng) ซึ่งมักมีแขนยาวและถูกผูกด้วยเข็มขัดที่เอว ชุดนี้มักจะทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม โดยสตรีจะสวมเสื้อคลุมที่ยาวถึงข้อเท้าและมีเสื้อที่เรียกว่า "ชุน" (chun) ที่มีแขนยาว -
1368
การเเต่งกายสมัยเหวี่ยน
ชุดประจำวันของชายในสมัยเหวี่ยนมักประกอบด้วยเสื้อคลุมยาวที่เรียกว่า "เปียว" (pao) ซึ่งมักจะมีการตกแต่งด้วยลวดลายที่มีความเรียบง่าย แต่ดูมีความสง่างาม นอกจากนี้ ยังมีการใช้เข็มขัดที่เอวเพื่อยึดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย -
1400
ศิลปะตะวันออกใกล้
อียิปต์พัฒนาอารยธรรมเจริญรุ่งเรื่องสุดขีดในลุ่มแม่น้ำไนล์ ส่วนทางฝั่งตะวันออกของทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนแถบแม่น้ำไทกรีส และยูเฟรทีส ได้แก่ดินแดนบางส่วนของประเทศอิหร่าน ซีเรีย จอร์แดน และซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน เรียกว่าแคว้นเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถึงดินแดนในลุ่มแม่น้ำสองสาย ชนชาติดังกล่าวมีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกัน ประเทศที่อยู่ในวัฒนธรรมนี้ได้แก่ สุเมเรียน บาบิโลเนียน อัสซิเรียน เปอร์เซีย -
1435
ศิลปะยุคโรมันตะวันออก
ศิลปะที่เน้นการใช้สีทองเเละภาพพระพุทธเจ้าในสถาปัตยกรรมเเละโมเสคการใช้กระเบื้องหรือแก้วที่มีสีสันหลากหลายในการสร้างภาพศิลปะบนพื้นผิวต่างๆเช่นผนังและเพดานโดดเด่นด้วยการสร้างภาพพระเยซูนักบุญและฉากทางศาสนา -
1450
ศิลปะยุคโกธิก
การสร้างโบสถ์เเละมหาวิหารที่มีความสูงเเละกระจกสีในด้านศิลปะ การวาดภาพและประติมากรรมในยุคโกธิกมักจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวทางศาสนาและชีวิตของนักบุญ ศิลปินในยุคนี้ยังใช้เทคนิคการทำลายมิติอย่างละเอียดเพื่อสร้างความรู้สึกของความลึกและความเป็นจริง -
ศิลปะยุคเรอเนสซองส์
การฟื้นฟูศิลปะและวรรณกรรมคลาสสิกของกรีกและโรมันศิลปินในยุคเรอเนสซองส์มักใช้เทคนิคใหม่ๆเช่นการสร้างมิติการศึกษากายวิภาคศาสตร์เพื่อวาดภาพมนุษย์อย่างแม่นยำและการใช้แสงและเงาเพื่อเพิ่มความลึกและความสมจริงตัวอย่างศิลปินที่สำคัญได้แก่ลีโอนาร์ -
ศิลปะยุคไมซีนี
อาคารสมัยไมซีนีมีลักษณะเด่นคือ"พระราชวังไมซีนี" ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่และซับซ้อนเช่นพระราชวังที่ไมซีนีและทรอยสถาปัตยกรรมนี้มักมีลักษณะของการสร้างกำแพงสูงและการตกแต่งด้วยลวดลายที่ซับซ้อนศิลปะการตกแต่งที่พบในสมัยนี้รวมถึงภาพเขียนบนผนังเช่นภาพการล่าสัตว์หรือการแสดงกิจกรรมทางสังคมซึ่งบ่งบอกถึงชีวิตประจำวันและความเชื่อของคนในยุคนั้น -
การเเต่งกายสมัยหมิง
ชายในสมัยหมิงมักสวมเสื้อคลุมที่เรียกว่า "เปียว" (pao) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวที่มีการปักลวดลายละเอียด มักจะมีแขนยาวและกระโปรงยาวถึงข้อเท้ากางเกง: มักสวมกางเกงที่เรียกว่า "ชาง" (chang) ซึ่งเป็นกางเกงยาวที่สามารถใส่ได้สะดวกเข็มขัด: ใช้เข็มขัดเพื่อรัดเสื้อคลุม และมักจะมีการตกแต่งด้วยลวดลายหรืออัญมณี -
การเเต่งกายสมัยอาณาจักรโบราณ
ผู้ชายนุ่งผ้าสามเหลี่ยมผืนสั้นชิ้นเดียวคล้ายผ้าเตี่ยวเรียกว่า “ลอยน์ โคลท” (Loin Cloth) หรือ “ไทรแองกูล่า แอพพร่อน” (Triangular apron) พันรอบเอวทิ้งชายไว้ด้านหน้าหรือซุกไว้ด้านใน ไม่สวมเสื้อ ผู้หญิงนุ่งผ้าผืนยาวชั้นเดียวทรงแคบยาวตั้งแต่ใต้อกถึงข้อเท้าเรียกว่า “ชีทกาวน์” (Sheath gown) มีสายสะพายดึงไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้าง สำหรับกษัตริย์และพระราชินีแต่งกายเช่นเดียวกับสามัญชน เพียงแต่ใช่ผ้าที่ดูหรูหรากว่าคนธรรมดา เป็นทอด้วยด้ายทอง จับจีบไว้ด้านหน้าและสวมมงกุฎ -
ศิลปะยุคบาโรก
การใช้แสงและเงาในการสร้างความรู้สึกถึงความรู้สึกและการเคลื่อนไหวงานศิลปะในยุคบาโรกมักใช้เทคนิคที่สร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหวและความลึกโดยการใช้แสงและเงาอย่างโดดเด่นและการวาดภาพที่มีการแสดงออกถึงอารมณ์อย่างเข้มข้นเช่นงานของคาราวัจโจและเปเตอร์ พอล รูเบนส์ -
ศิลปะยุคโรโคโค
ศิลปะที่เน้นความสวยงามเเละความหรูหราศิลปะโรโคโคเน้นความสวยงามและความละเอียดอ่อนมีลักษณะของการตกแต่งที่ซับซ้อนและนุ่มนวลช้สีสันอ่อนหวานและการออกแบบที่โค้งเว้าการตกแต่งแบบนี้มักมาพร้อมกับธีมของชีวิตที่สงบและโรแมนติกตัวอย่างของศิลปินที่สำคัญได้แก่ฟร็องซัวส์บูเชอและชานด์เรอส์ -
การเเต่งกายยุคบาโร
ชุดเต็มไปด้วยความอลังการ การใช้ลูกไม้ ผ้าคลุมที่ซับซ้อน และการออกแบบที่หรูหรา สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของศิลปะและวัฒนธรรม -
ศิลปะแบบนีโอคลาสสิก
นีโอคลาสสิกเป็นรูปแบบศิลปะที่อยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยใหม่กับสมัยเก่า ภาพเขียนจะสะท้อนเรื่องราวทางอารยธรรม เน้นความสง่างามของรูปร่างทรวดทรงของคนและส่วนประกอบของภาพ มีขนาดใหญ่โต แข็งแรง มั่นคง ใช้สีกลมกลืน มีดุลยภาพของแสง และเงาที่งดงาม -
ศิลปะยุคเนโอคลาสสิก
การกลับไปใช้รูปเเบบของศิลปะคลาสสิกจากกรีกเเละโรมันศิลปะเนโอโคลาสสิกเน้นการฟื้นฟูรูปแบบและหลักการของศิลปะกรีกและโรมันโดยมีลักษณะของความเรียบง่ายและความสง่างามการใช้เส้นที่คมชัดและการจัดวางที่เป็นระเบียบตัวอย่างศิลปินที่สำคัญ -
การเเต่งกายยุค Victorian และ Gibson Girl
ในสมัยยุควิกตอเรียทรวดทรงในอุดมคติของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนไปจากชุดเรียบร้อยสวยงามของรีเจนซี่หรือกระโปรงสุ่มโครงกว้างแบบเก่าไม่ใช่ความสวยงามในอุดมคติอีกต่อไป กลายเป็นเซตคอร์เซตรัดเอวประกอบกับรูปร่างอวบแน่นในช่วงหน้าอกและบั้นท้าย นำมาสู่ชุดที่เราคุ้นตากันดีกับความเอวคอดของเสื้อ -
ศิลปะยุคโรเเมนติก
การเเสดงความรู้สึกเเละอารมณ์ผ่านศิลปะศิลปินและนักเขียนในยุคโรแมนติกมุ่งเน้นการแสดงออกถึงความรู้สึกและอารมณ์อย่างเข้มข้นงานศิลปะมักสะท้อนถึงความงดงามของธรรมชาติความรักและความเป็นเอกลักษณ์ของบุคคล -
ศิลปะยุคอิมเพรสชันนิสต์
การจับภาพแสงและสีในช่วงเวลาสั้นศิลปินเน้นการจับภาพของแสงและบรรยากาศในช่วงเวลาต่างๆโดยการใช้เทคนิคการวาดที่รวดเร็วและคล่องแคล่วเพื่อแสดงความเปลี่ยนแปลงของแสงและสีเช่นในภาพที่วาดในแสงแดดหรือภายใต้สภาพอากาศที่แตกต่าง -
ศิลปะยุคเรียสต์
การสร้างภาพสะท้อนความเป็นจริงของชีวิตประจำวันศิลปินเรียลลิสต์มุ่งเน้นการจับภาพชีวิตประจำวันและผู้คนในสภาพแวดล้อมที่แท้จริงโดยมักจะหลีกเลี่ยงการวาดภาพในเทพนิยายหรือประวัติศาสตร์ -
การเเต่งกายยุคยุคเอ็ดเวิร์ด
การแต่งกายสะท้อนถึงความสง่างามและหรูหรา กระโปรงยังคงยาว แต่มีการตัดเย็บที่เรียบง่ายขึ้นกว่าในยุควิกตอเรีย -
การเเต่งกายสมัยชิง
ชายมักสวมเสื้อคลุมที่เรียกว่า "ชงเปียว" (changpao) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวที่มีแขนยาวและยาวถึงข้อเท้า มักทำจากผ้าไหมหรือผ้าทอที่มีลวดลายซับซ้อนและมีการปักลวดลายต่าง ๆ เช่น สัญลักษณ์ของโชคลาภหรือราชวงศ์กางเกง: ใส่กางเกงที่เรียกว่า "หูซี่" (huzi) ซึ่งเป็นกางเกงยาวที่ช่วยให้เคลื่อนไหวสะดวก -
การเเต่งกายยุคยุค 1920s
ชุดสตรีเริ่มสั้นขึ้นและมีความเรียบง่ายขึ้น ชุดแบบ “Flapper” เป็นที่นิยม เสื้อผ้าผู้ชายสวมสูททรงตรงและหมวกฟาง -
การเเต่งกายยุคยุค ‘20s และ Flapper Dress
ยุค 1920 ความรุ่งโรจน์ทางการออกแบบแฟชั่นมีให้เราเห็นจากอิทธิพลของแบรนด์ Chanel ที่สร้างสรรค์ชุดแฟลปเปอร์เดรสสุดคลาสสิก รูปแบบของเสื้อผ้าจะโน้มเอียงไปในทิศทางเดียวกันอิงจากร่างกายในอุดมคติของสาว ๆ -
การเเต่งกายยุค1930s
เสื้อผ้าเน้นความประหยัดและการใช้ผ้าที่เรียบง่าย สตรีเริ่มใส่กางเกงและเสื้อเชิ้ตที่ดูแข็งแรงขึ้น ผู้ชายใส่ชุดสูทที่เรียบง่าย -
การเเต่งกายยุคสงครามโลก
แฟชั่นสมัยยุค ‘40s อาจจะดูแข็งกระด้างไปสักนิดหากเทียบกับเดรสรูปแบบต่าง ๆ หรือไม่ก็การมิกซ์แอนด์แมตช์เนื้อผ้าความพลิ้วไหวที่สะท้อนถึงความเฟมีนีน กรอบของสังคมที่มุ่งเน้นความเข้มแข็งแฟชั่นก็ย่อมเปลี่ยนตามไหล่กว้างตรงหรือที่เรียกว่า “Strong Shoulders” ถูกพัฒนาลงในเสื้อเชิ้ตของผู้หญิง -
การเเต่งกายยุคยุค 1940s (สงครามโลกครั้งที่ 2)
การแต่งกายได้รับอิทธิพลจากสงคราม เสื้อผ้าผู้หญิงกลายเป็นชุดทำงานและทหารที่เน้นความสะดวก ผู้ชายใส่ชุดทหารหรือชุดที่เรียบง่าย -
การเเต่งกายยุค ‘40s / สงครามโลก
แฟชั่นสมัยยุค ‘40s อาจจะดูแข็งกระด้างไปสักนิดหากเทียบกับเดรสรูปแบบต่าง ๆ หรือไม่ก็การมิกซ์แอนด์แมตช์เนื้อผ้าความพลิ้วไหวที่สะท้อนถึงความเฟมีนีน กรอบของสังคมที่มุ่งเน้นความเข้มแข็งแฟชั่นก็ย่อมเปลี่ยนตามไหล่กว้างตรงหรือที่เรียกว่า “Strong Shoulders” ถูกพัฒนาลงในเสื้อเชิ้ตของผู้หญิง -
การเเต่งกายยุค New Look
พูดถึงแฟชั่นแต่จะไม่พูดถึงสิ่งที่ปฏิวัติให้แฟชั่นกลับมายิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยสีสันอย่าง “New Look” ฝีมือของ Christian Dior ไม่ได้ ด้วยลักษณะของสังคมที่เผชิญสงครามนานหลายปีทำให้เสื้อผ้าและความสร้างสรรค์ -
การเเต่งกายสมัยปฏิวัติซินไฮ่
ในช่วงเวลานี้ ชายยังคงสวมเสื้อคลุมแบบดั้งเดิม เช่น ชุด "ชงเปียว" (changpao) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวที่มีลักษณะเหมือนสมัยราชวงศ์ชิง แต่การใช้ชุดนี้ลดลงสตรียังคงสวมชุดแบบ "ฉางเปียว" (changpao) หรือ "ชงเปียว" (qipao) ที่เป็นชุดยาวและมีการตกแต่งลวดลายชุดสมัยใหม่: เช่นเดียวกับผู้ชาย สตรีเริ่มมีการสวมชุดสไตล์ตะวันตกมากขึ้น รวมถึงเสื้อผ้าที่เป็นชุด -
การเเต่งกายยุค 1950s (หลังสงคราม)
เสื้อผ้าเริ่มกลับมาเน้นความหรูหรา กระโปรงบานฟูฟ่องและเสื้อท่อนบนเข้ารูป ผู้ชายสวมชุดสูทที่มีการออกแบบแบบคลาสสิก -
การเเต่งกายยุค ‘50s
พลิกเส้นทางของแฟชั่นทุกสาย ช่วงยุค ‘50s อิทธิพลของลุคใหม่จากห้องเสื้อชื่อดังของฝรั่งเศสแพร่กระจายไปทั่ว คนเริ่มหันกลับมาให้ความสำคัญแฟชั่น ยุคนี้เองเหมือนแฟชั่นความซับซ้อน -
การเเต่งกายยุค '60s / Space Age / Jackie
เดรสสั้นเรียง่ายชุดเดียวสวมพร้อมรองเท้าแฟลตคงเป็นอะไรที่คุ้นตาสำหรับการเป็นตัวแทนแฟชั่นยุคนี้เป็นอย่างดี เพิ่มเติมรายละเอียดคือสีสันของชุดที่สดใสพร้อมลายพิมพ์บ้างบางส่วนประกอบกับรองเท้า -
การเเต่กายยุค1960s แฟชั่นแห่งสีสัน
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป วัสดุอย่างขนสัตว์ ผ้าไหมและวัตถุดิบในการผลิตสีต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกสถานะของกลุ่มชนชั้นสูง สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นตามท้องตลาดทำให้บุคคลธรรมดาสามารถครอบครองและสวมใส่ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น กฎเกณฑ์ในการแบ่งแยกชนชั้นด้วยสีสันและความปราณีตของเครื่องแต่งกายจึงเริ่มเสื่อมถอยลงไป ประจวบกับช่วงยุค 60 ซึ่งเป็นสมัยที่เพิ่งสิ้นสุดสงครามโลก -
ศิลปะยุคโมเดิร์น
การทดลองในรูปแบบและวัสดุใหม่เช่นฟิวเจอริสต์คิวบิซึ่มและเซอร์เรียลลิซึ่มศิลปินในยุคโมเดิร์นมักจะทดลองรูปแบบและเทคนิคใหม่ๆโดยไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ทางศิลปะที่ดั้งเดิมเช่นการใช้รูปทรงเรขาคณิตการจัดองค์ประกอบที่ไม่เป็นระเบียบและการใช้สีและเทคนิคที่แปลกใหม่ -
ดารเเต่งกายยุค1970s แฟชั่นฮิปปี้
เมื่อเข้าสู่ยุค 1970 เรียกได้ว่า เป็นยุคที่เปิดกว้างมุมมองเรื่องแฟชั่นและรสนิยมการแต่งกาย มีการรับเอาวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองมากขึ้น ผู้หญิงเริ่มหยิบการแต่งกายของผู้ชายมาประยุกต์ให้กลายเป็นแฟชั่นหรือเรียกได้ว่าการแต่งกายแบบไม่ระบุเพศ (unisex) รวมถึงเป็นช่วงที่สไตล์การแต่งตัวแบบ His and Her outfits หรือการแต่งตัวแบบชุดคู่เริ่มต้นและได้รับความนิยม -
การเเต่งกายยุค1980s กับความเท่แบบย้อนยุค
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุค 1980 ผู้คนเริ่มนิยมแฟชั่นสไตล์ชิล ๆ สบาย ๆ แต่คงความเท่อย่างลุค Dadcore ซึ่งนิยมใส่แจ็คเก็ต เสื้อกันลม Sweater หรือลุคสุดฮิตที่ทรงอิทธิพลมาจนถึงวัยรุ่นยุคปัจจุบันอย่างเสื้อยีนส์และรองเท้าผ้าใบสีขาว บ้างก็เพิ่มความเนี้ยบด้วยการสวมใส่เสื้อโปโลเน้นโทนสีสดใส เช่น ฟ้า เหลือง -
การเเต่งกายยุค Minimalist / Casual Chic
อิทธิพลจากยุค ‘80s ยังส่งอิทธิพลสปอร์ตแวร์จนถึงยุค ‘90s เพราะเสื้อผ้าสบายเหมาะแก่การออกกำลังกายยังเป็นที่นิยมอยู่ แต่เทรนด์นี้ก็มาตีคู่กับกระแสซูเปอร์โมเดลต่าง ๆ ที่นอกรันเวย์ก็แต่งตัวสไตล์มินิมอลเหมือนคนปกติทั่วไป ประกอบกับอิทธิพลดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่พลิกผันโฉมแฟชั่นมาสู่การแต่งกายง่าย ๆ -
การเเต่งกายยุค1990s จากความไม่สนใจแฟชั่นจนกลายเป็นแฟชั่นแห่งทศวรรษ
ในขณะที่ทศวรรษที่ 90s แฟชั่นได้เปลี่ยนไปสู่การแต่งกายที่มีความเรียบง่ายและไม่เป็นทางการ แฟชั่นยุค 90s ในบางช่วงมีจุดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่ายหรือสไตล์มินิมอลดังจะเห็นได้จากลุคยอดนิยมอย่างการใส่ “เดรสทรง สลิป” บนเสื้อยืดสีขาว -
ศิลปะยุคบรอนซ์
มีการพัฒนาการหล่อทองสัมฤทธิ์และการสร้างรูปปั้น เช่น รูปปั้นจากวัฒนธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเทพเจ้าหรือผู้นำทางการเมือง -
ศิลปะยุคปัจจุบัน
การทดลองในรูปแบบเเละวัสดุใหม่ๆๆในศิลปะศิลปินมักทดลองเทคนิคใหม่ๆและผสมผสานรูปแบบศิลปะที่หลากหลายเช่นการรวมศิลปะการแสดงการติดตั้งและสื่อดิจิทัลในงานเดียวกัน -
การเเต่งกายยุคปัจจุบันเทรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าในปี 2024
หนึ่งในแฟชั่นกางเกงยีนส์ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในปีนี้ก็คือกางเกงยีนส์ทรงหลวม หรือ Baggy Jeans ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ดูดีมีสไตล์ในเวลาเดียวกัน สามารถนำมาแมตช์ได้หลายลุค ไม่ว่าจะเป็นแนวสตรีท แนวสปอร์ต หรือจะมิกซ์กับไอเทมเรียบหรูก็ดูเก๋ไม่แพ้กัน