-
1987 BCE
วิทยาศาสตร์แห่ง AI
ปัญญาประดิษฐ์ได้รับการยอมรับเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งในปีี 1987 เนื่องจากที่ผ่านมามีการคิดค้นวิธีการ ทฤษฎี ที่ทำให้สร้างเครื่องจักรที่มีความฉลาด แก้ปัญหาได้จริง เช่น หุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์วิทัศน์ การแทนความรู้ การรู้จำเสียง การค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลจำนวนมาก (data mining) เป็นต้น -
1986 BCE
การกลับมาของโครงข่ายประสาทเทียม -neuron network
- ตั้งแต่ปี 1970 โครงข่ายประสาทเทียมได้รับความสนใจน้อยมาก เนื่องจากนักวิจัยเชื่อว่าไม่สามารถสร้างโปรแกรมที่แก้ปัญหาได้้จริง แต่เมื่อนักฟิสิกส์ชื่อ Hopfield ได้ใช้วิธีการทางสถิติกลศาสตร์วิเคราะห์ความต้องการหน่วยความจำ และคุณสมบัติที่เหมาะสมของ โดยมองแต่ละหน่วยในเครือข่ายเป็นอะตอม ทำงานวิจัยโครงข่ายใยประสาทเทียมได้กลับมาอีกครั้ง
- การเรียนรู้แบบแพร่กระจายย้อนกลับ ได้ถูกเสนอโดย Rumelhart, Hinton และ Williams สามารถแก้ปัญหาได้ทำให้นักวิจัยกลับมาให้ความสนใจโครงข่ายใยประสาทเทียมอีกครั้ง
-
1980 BCE
อุตสาหกรรม AI
ใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาได้เข้ามามีบทบาทในวงการอุตสาหกรรม เช่น ระบบ R1 ถูกใช้ในบริษัท DEC ในการช่วยหาการสั่งซื้อระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ที่เหมาะสม ซึ่งทำให้บัริษัทประหยัดได้ถึงปีละ 40 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในบริษัท DEC เองใช้โปรแกรมระบบผู้เชี่ยวชาญถึง 40 ระบบ
บริษัทอื่นอีกหลายบริษัทต่างก็ให้ความสนใจและยอมลงทุนมหาศาลสร้างโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จดังที่คาดไว้ -
1969 BCE
ระบบฐานความรู้
- ระบบฐานความรู้เป็นการแทนข้อมูลให้โปรแกรมที่ทำงานด้าน AI สามารถนำไปใช้หาเหตุผล หรือหาคำตอบได้
- ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเป็นการผนวกความรู้ในฐานความรู้กับกฎเกณฑ์เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
- ระบบผู้เชี่ยวชาญได้ถูกพัฒนาต่อจากระบบสนับสนุนการตัดสินใจ โดยรวบรวมความรู้ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ และมีโปรแกรมในการอ้างเหตุผล ผู้ใช้ป้อนข้อมูลลักษณะของปัญหาเข้าระบบ แล้วโปรแกรมในการอ้างเหตุผลจะกหาคำตอบหรือคำปรึกษากับผู้ใช้
-
1966 BCE
ฝันที่เป็นจริงและฝันที่สลาย
- โปรแกรมส่วนไม่มีความรู้ในของเขตความรู้ที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา
- ความสามารถในการโต้ตอบทำได้ยาก
- แนวคิดเรื่องเครื่องจักรกลายพันธุ์
- Minsky และ Papert ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดในการใช้งานโครงข่ายใยประสาทเทียมแบบหนึ่งชั้น ซึ่งส่งผลให้งานวิจัยเรื่องนี้เงียบหายไปนับสิบปี เนื่องจากนักวิจัยเชื่อว่าถึงทางตันแล้ว
-
1956 BCE
กำเนิด AI
- ปัญญาประดิษฐ์กำเนิดอย่างเต็มตัวที่มหาวิทยาลัย Princetone โดยจอห์น แมคคาร์ธี (John McCarthy) ได้ชวนมาร์วิน มินสกี(Marvin Minsky) ,คอล็ด แชนนอน (Claude Shannon), ,นาธาเนียล โรเชสเตอร์ (Nathaniel Rochester) และนักวิจัยจากสถาบันอื่นรวม 10 คน ให้ช่วยกันทำวิจัยเรื่องทฤษฎีอัตโนมัติ (automata theory) โครงข่ายใยประสาท และศึกษาเรื่อง "ความฉลาด : intelligece"
-
1952 BCE
ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ที่ต้องการจาก AI
- AI ในช่วงแรกนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ Newell และ Simon ได้สร้างอีกโปรแกรมคือโปรแกรมแก้ปัญหาทั่วไป (GPS: general problem solver) จำลองวิธีการแก้ปัญหาโดยทั่วไปของมนุษย์ (thinking humanly) โดยได้ทดลองกับปัญหาการต่อคำ (puzzle) ในขอบเขตความยากที่กำหนด
- McCarthy ได้สร้างภาษาระดับสูงเพื่อเขียนโปรแกรมด้านปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะ นั่นคือมีความสามารถในการหาเหตุผล จัดการกับโจทย์ปัญหาที่ไม่ใช่ตัวเลข ภาษานี้คือ LISP
- McCullouch และ Pitts สานต่องานด้านโครงข่ายใยประสาทเทียม
-
1943 BCE
ตั้งครรภ์ AI
- โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์โปรแกรมแรกเป็นการจำลองหน่วยประสาทเดี่ยว สร้างโดย Warren McCulloch และ Walter Pits โดยใช้ความรู้เรื่องหน้าที่ของสมองในเชิงกายภาพ ตรรกศาสตร์ และทฤษฎีการคำนวณ และภายหลัง Donald Hebb ได้เสนอกฎการเรียนรู้เพื่ออธิบายการเรียนรู้ของโครงข่ายประสาทเทียม
-
ตัวแทนปัญญาปรากฎตัว
ในการแก้ปัญหาของโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์นั้น ถ้าเป็นปัญหาซับซ้อน และปัญหานั้นมีการคอยติดต่อหรือติดตามดูการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของสิ่งแวดล้อม มักจะแบ่งงานออกเป็นงานย่อย แล้วมีตัวแทนปัญญา (intelligent agent) ทำงานในส่วนย่อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือตัวแทนปัญญาบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเรามักจะเรียกว่า -bot (บอต) เช่น บอตของโปรแกรมค้นหาข้อมูล (search engine)