-
2020 BCE
The Big Tree in Autumn
เมื่อประเทศฝรั่งเศสประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ.2020 หลังการระบาดหนักของโควิด-19 เดวิด ฮอกนีย์ (David Hockney) ศิลปินชื่อดังชาวอังกฤษวัย 83 ปีซึ่งขณะนั้นพำนักอยู่ที่นอร์มังดีต้องเก็บตัวอยู่ภายในบ้านพักและในช่วงเวลานี้เองเขาได้ใช้ไอแพดวาดภาพต้นไม้ที่เริ่มออกดอกผลิบานภายหลังฤดูหนาวที่ยาวนานและแสนทรมาน “ผมเริ่มวาดภาพต้นไม้ในฤดูหนาวที่เริ่มผลิใบเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ในขณะเดียวกันไวรัสกำลังระบาดหนัก -
Period: 2020 BCE to 2020 BCE
The Big Tree in Autumn
-
1988 BCE
Jean-Michel Basquiat: Riding With Death
Whether or not Riding With Death (1988) is Jean-Michel Basquiat’s final painting is still up for debate. The work certainly has a morbid quality about it that evokes a sense of an ending, and Basquiat painted it shortly before his own death from a heroin overdose in 1988 -
Period: 1988 BCE to 1988 BCE
Jean-Michel Basquiat: Riding With Death
-
Period: 1972 BCE to 1972 BCE
Pablo Picasso's Last Self-Portrait
-
1954 BCE
Frida Kahlo: Viva La Vida, Watermelons
VIVA LA VIDA is Mexican artist Frida Kahlo's last work. She completed it eight days before she died on July 13, 1954, aged 47. The painting is a still life with watermelons, a fruit that is a popular symbol in the Mexican day of the dead (Dia de los Muertos). Watermelons are also a frequent feature in Mexican art. Viva La Vida means "long live life" in Spanish. -
Period: 1954 BCE to 1954 BCE
Frida Kahlo: Viva La Vida, Watermelons
-
1953 BCE
Two Figures in the Grass
ฉันชอบผู้ชาย ชอบสมองของพวกเขา ชอบสัมผัสบนผิวหนังของพวกเขา’ คือคำประกาศอย่างเริงร่าของ ฟรานซิส เบคอน ศิลปินเอ็กเพรสชั่นนิสม์ตัวพ่อผู้ไม่เคยปกปิดตัวตนของการเป็นคนรักเพศเดียวกัน Two Figures (1953) คือผลงานที่เบคอนกระตุกเตือนให้ผู้ชมตระหนักถึง ‘การมีอยู่’ และ ‘การดำรงอยู่’ ของคนรักเพศเดียวกั -
1953 BCE
Henri Matisse: La Gerbe, One Of His Last Works
French artist Henri Matisse (1869-1954) was a revolutionary and influential painter of the early 20th century, best known for the expressive color and form of his Fauvist style. His last work was Le Gerbe (1953), a piece made from ceramic tile embedded in plaster. It was his only west coast commission and it can be found in the Los Angeles County Museum of Art (LACMA). -
Period: 1953 BCE to 1953 BCE
Henri Matisse: La Gerbe, One Of His Last Works
-
Period: 1953 BCE to 1954 BCE
Two Figures in the Grass
-
1948 BCE
No.5, 1948
No.5, 1948 เป็นผลงานของศิลปินชาวอเมริกัน แจ็กสัน พอลล็อก ผู้นำของการเขียนภาพแบบสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม (abstract expressionism) ซึ่งเป็นการทำงานศิลปะโดยการสาด เท หยด สลัดสีลงบนผ้าใบ โดยไม่ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบศิลป์หรือแบบแผนใดๆ แต่ปล่อยให้จิตสำนึกเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นนั้น ภาพ No.5 ถูกขายให้กับนักสะสมที่นิวยอร์ก เมื่อปี 2006 ในราคา 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการขายภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลกในขณะนั้น -
Period: 1948 BCE to 1948 BCE
No.5, 1948
-
1937 BCE
Guernica
Guernica เป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของปาโบล ปิกัสโซ แสดงให้เห็นถึงโศกนาฏกรรมของสงครามและความทุกข์ทรมานที่จะกระทบถึงแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้บริสุทธิ์ วัตถุประสงค์ของปิกัสโซในการเขียนภาพคือนำความสนใจของผู้คนในโลกไปยังการทิ้งระเบิดที่เมือง Guernica แคว้นบาสก์โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมัน ที่ให้การสนับสนุนกองกำลังต่างชาติของนายพลฟรังโกในระหว่างสงครามกลางเมืองสเปน ภาพ Guernica จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Reina Sofia ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน -
Period: 1937 BCE to 1937 BCE
Guernica
-
1936 BCE
Medallion
กลัค คือ กลัค กลัคคือคนผู้ปลดเปลื้องตัวเองออกจากคำนิยามหรือกฎเกณฑ์ใดทั้งปวง ในวัยเด็ก เธอเลือกที่จะเรียกชื่อของตัวเองว่า กลัค แทนชื่อ ฮานนาห์ กลัคสไตน์ ที่พ่อแม่ของเธอตั้งให้ เธอเลือกที่จะสวมกางเกงแทนกระโปรงอย่างเด็กหญิงทั่วไปในสมัยนั้น เธอคัดค้านเสียงทัดทานของพ่อแม่ที่ไม่ต้องการให้เธอเป็นศิลปิน และเธอก็ปฏิเสธที่จะทำงานศิลปะตามกระแสนิยม เพียงแต่วาดภาพที่เธอพอใจอย่างภาพ self-portrait หรือดอกไม้ เธอไม่ลงนามในผลงานด้วยคำนำหน้าหรือคำลงท้ายใด ๆ เธอเป็นแค่‘กลัค’ไม่ใช่ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายที่ชื่อ‘กลัค’ -
Period: 1936 BCE to 1936 BCE
Medallion
-
1931 BCE
The Persistence Of Memory
The Persistence Of Memory งานศิลปะแบบเหนือจริงชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นในปี 1931 โดยซัลบาโด ดาลี ศิลปินชาวสเปน ภาพแสดงแนวชายฝั่งที่ดูหดหู่ ห้อยประดับไปด้วยนาฬิกาพกที่กำลังหลอมละลาย เชื่อว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์มีแรงบันดาลใจต่อผลงานที่แปลกประหลาดชิ้นนี้ The Persistence Of Memory เป็นหนึ่งในผลงานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและได้รับการจดจำมากที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ -
Period: 1931 BCE to 1931 BCE
The Persistence Of Memory
-
1930 BCE
American Gothic
ภาพ American Gothic เป็นผลงานของจิตรกรชาวอเมริกัน แกรนท์ วู้ด เขาได้รับแรงบันดาลใจจากบ้านแบบกอธิคของชาวอเมริกัน เขาตัดสินใจวาดบ้านพร้อมกับคนประเภทที่เขาจินตนาการว่าน่าจะอาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้ ในภาพเป็นรูปชาวนายืนอยู่ข้างผู้หญิงที่น่าจะเป็นภรรยาของเขาโดยมีบ้านแบบกอธิคเป็นฉากหลัง เขาให้หมอฟันของเขามาเป็นนายแบบและให้น้องสาว Nan Wood Graham เป็นนางแบบ เมื่อภาพนี้โด่งดังขึ้นบรรดาชาวสวนชาวนาต่างไม่พอใจวู้ดอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่าชาวนาในภาพดูเหมือนเป็นโรคซึมเศร้าและคลั่งศาสนา -
Period: 1930 BCE to 1930 BCE
American Gothic
-
1926 BCE
Claude Monet: Water Lilies Murals
The Grandes Décorations (1920/26) are a collection or murals that comprise Claude Monet's last works. They depict his beloved water lilies and he painted them when both his eyesight and health were failing. As his sight worsened due to cataracts, his works turned from fresh, bright colours to blurred visions of heavy browns and reds. He wrote letters to friends, how colors were getting dull, and it was hard to tell them apart, and how he had to label tubes of paint. -
Period: 1926 BCE to 1926 BCE
Claude Monet: Water Lilies Murals
-
1918 BCE
Gustav Klimt: The Bride
Gustav Klimt never finished his last painting, titled The Bride (1917/1918), but this uncompleted work gives us a fascinating insight into the artist's technique as well as his inner desires. The painting depicts naked women, because Klimt died before he could dress them, but the fact that he first painted his subjects naked before dressing them in clothes reveals the sexual obsession that lay beneath the surface of Klimt's works. -
Period: 1918 BCE to 1918 BCE
Gustav Klimt: The Bride
-
1910 BCE
The Sun
ภาพเขียนที่สร้างชื่อให้ เอ็ดเวิร์ด มุงค์ (Edvard Munch) จิตรกรชาวนอร์เวย์ โด่งดังไปทั่วโลกคือภาพชื่อ “The Scream” แสดงภาพคนใบหน้าบิดเบี้ยว มือสองข้างปิดหู ยืนกรีดร้องโหยหวนอยู่บนสะพานท่ามกลางท้องฟ้าสีแดงเพลิง มุงค์ (ค.ศ.1863-1944) เป็นหนึ่งในศิลปินยุคเอกซ์เพรสชันนิสม์ (Expressionism) และซิมโบลิซึม (Symbolism) ซึ่งผลงานส่วนใหญ่ของเขามักแสดงออกถึงความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความกลัว ความเศร้า และการพลัดพราก -
Period: 1910 BCE to 1911 BCE
The Sun
-
1907 BCE
The Kiss
The Kiss เป็นภาพเขียนสีน้ำมันปิดทองบนผ้าใบ เขียนโดยกุสตาฟ คลิมต์ ชาวออสเตรีย อาจจะถือว่าเป็นงานชิ้นสำคัญที่สุดของคลิมต์ เป็นภาพชายและหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน เป็นคู่รักที่อยู่ท่ามกลางสีทองหลากหลายที่ตกแต่งอย่างวิจิตรและเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ The Kiss เป็นภาพที่วิวัฒนาการมาจากปรัชญายุคปลายศตวรรษที่ 18 เพราะเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตอันฟุ้งเฟ้อออกมาในภาพอันหวานฉ่ำและยั่วยวนอารมณ์ The Kiss เป็นภาพของแสดงออกอย่างประณีตของคลิมต์ผู้เน้นความยั่วยวนทางอารมณ์ (eroticism) และการปลดปล่อย -
Period: 1907 BCE to 1908 BCE
The Kiss
-
1906 BCE
Water Lilies
จิตรกรชาวฝรั่งเศส โกลด มอแน เขียนภาพชุดในชื่อ Water Lilies ในระหว่างปี 1883-1926 ไว้เป็นจำนวนมากถึงราว 250 ชิ้น เป็นภาพของสระบัวและสวนดอกไม้ที่สวนหลังบ้านของเขาเองที่จิแวร์นี (Giverny) แคว้นนอร์มังดี (ห่างจากปารีสราว 80 กม.ทางตะวันตกเฉียงเหนือ) และมีภาพจำนวนไม่น้อยที่เขาเขียนในขณะที่ตาของเขาเป็นต้อกระจก ภาพเขียน Water Lilies ได้จัดแสดงไว้ตามพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงต่างๆทั่วโลก ภาพข้างบนจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ในเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา -
1906 BCE
Paul Cézanne: The Gardener Vallier
Paul Cézanne (1839-1906) was a French artist and Post-Impressionist painter. Between 1902 and 1906, Cézanne painted a number of portraits of Vallier, the gardener at his Les Lauves studio. The one he painted in 1906, which is comparable with the late portraits of Rembrandt, both in its seriousness of mood and in its bold, broad execution, is thought to be his last work. -
Period: 1906 BCE to 1906 BCE
Paul Cézanne: The Gardener Vallier
-
Period: 1906 BCE to 1906 BCE
Water Lilies
-
1905 BCE
Boy with a Pipe
Boy with a Pipe เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่ปาโบล ปิกัสโซเขียนเมื่อปี 1905 ขณะที่เขามีอายุ 24 ปีซึ่งอยู่ระหว่างยุคสีชมพู (Rose Period) ที่เขานิยมเขียนภาพด้วยโทนสีสดใสเช่นสีชมพูและสีส้ม รวมทั้งเป็นช่วงที่เขากำลังมีคนรักคนแรกด้วย ในภาพเป็นรูปเด็กผู้ชายชาวปารีสถือไปป์ในมือซ้ายและสวมศีรษะด้วยพวงมาลัยดอกไม้ ภาพ Boy with a Pipe ถูกขายให้กับนักสะสมที่นิวยอร์ก เมื่อปี 2004 ในราคา 104.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของการซื้อขายภาพเขียนในเวลานั้น -
Period: 1905 BCE to 1905 BCE
Boy with a Pipe
-
1902 BCE
1902
ไม่ว่าใครจะรักหรือชังศิลปินที่ชื่อว่า ปอล โกแกง อย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานของเขามีความสำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะภาพสะท้อนของชาวตะวันตกที่มีต่อชาวพื้นเมืองในยุคล่าอาณานิคม และภาพแม่มดแห่ง Hiva Oa ของหมู่เกาะเฟรนช์โปลินีเซียนี้ก็มีความสำคัญในแง่ของการเป็นภาพบันทึกวัฒนธรรมนอกกรอบคิดของฝั่งตะวันตก ที่เรื่องของ ‘เพศ’ นั้นมีความลื่นไหลกว่ามาเนิ่นนานแล้ว -
Period: 1902 BCE to 1902 BCE
The Sorcerer of Hiva Oa
-
1893 BCE
The Scream
The Scream เป็นชุดของภาพเขียนแบบเอ็กซเพรสชันนิสม์และภาพพิมพ์ โดยเอ็ดเวิร์ด มุงค์ ศิลปินชาวนอร์เวย์ แสดงภาพคนที่ทุกข์ทรมานตัดกับท้องฟ้าสีแดงเลือด ภูมิทัศน์พื้นหลังของภาพเป็นอ่าว Oslofjord มองจากเนินเขา Ekeberg ในเมืองออสโล เอ็ดเวิร์ด มุงค์ได้สร้าง The Scream หลายเวอร์ชั่นในสื่อต่างๆ ภาพข้างบนถูกเขียนขึ้นในปี 1893 และจัดแสดงอยู่ในหอศิลปะแห่งชาตินอร์เวย์ มันถูกขโมยในปี 1994 แต่ได้คืนในอีกหลายเดือนต่อมา ในปี 2004 The Scream อีกเวอร์ชันหนึ่งถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ Munch และได้คืนในปี 2006 -
Period: 1893 BCE to 1893 BCE
The Scream
-
1892 BCE
In Bed: The Kiss
ในช่วงปี 1892 อ็องรี เดอ ตูลูซ-โลแทร็ค พาตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักโคมแดงกรุงปารีส เพื่อเฝ้าสังเกตชีวิตของหญิงสาวผู้ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในสถานเริงรมย์แห่งนี้ แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นซีรีส์ภาพวาด 16 ภาพที่ล้วนแล้วแต่นำเสนอภาพของหญิงขายบริการ อันเป็นซับเจกต์ที่แหกกรอบจารีตของสถาบันศิลปะชั้นสูงของฝรั่งเศสอย่างสิ้นเชิง -
Period: 1892 BCE to 1892 BCE
In Bed: The Kiss
-
1890 BCE
Almond Blossoms
ชีวิตของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh, ค.ศ.1853-1890) อาจเป็นภาพฉายของศิลปินไส้แห้งผู้อาภัพรัก ผู้มีอารมณ์รุนแรงราวกับฝีแปรงพู่กันที่เขาวาด ผู้มีอาการทางจิตจนตัดหูซ้ายของตัวเองและต้องเข้ารับการรักษาในสถาบันจิตเวช และจบชีวิตในวัยเพียง 37 ปีอย่างเป็นปริศนาว่าเขาฆ่าตัวตายเพื่ออยากจบความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยหรือถูกฆาตกรรมโดยเด็กวัยรุ่นที่มองเขาเป็นศิลปินวิกลจริต แต่แวนโก๊ะนับเป็นตัวอย่างของศิลปินผู้อุทิศตนสร้างสรรค์งานศิลปะตามแนวทางที่เขามุ่งมั่น -
1890 BCE
Vincent Van Gogh: Tree Roots
Wheatfield With Crows (1890) is often considered to be Vincent van Gogh's last work, perhaps because the ominous setting was in fact the place he chose in real life for his final, successful suicide attempt. It is however more likely that his final work was Tree Roots, painted in Auvers-sur-Oise, France, shortly after he left an asylum in Saint-Rémy. -
1890 BCE
Wheatfield with Crows
ในที่สุด ปี 1890 เขาออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ใกล้ๆ กับน้องชายในเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงปารีสชื่อ Auvers-sur-Oise ในช่วงนั้นแวน โกะห์ สนิทสนมกับ Dr. Paul Gachet นายแพทย์และจิตรกรสมัครเล่นผู้เข้ามาช่วยดูแลอาการ กลายเป็นมิตรสหายที่ดีของเขา แถมยังเป็นนายแบบให้เขาวาดภาพออกมาอีกหลายภาพ อาการป่วยทางจิตของเขาเริ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน แวน โกะห์ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างไม่หยุดหย่อน เขาสร้างผลงานออกมากว่า 80 ชิ้นที่ล้วนแล้วแต่ใช้สีสันสดใสเจิดจ้า เดือนสุดท้ายของชีวิต -
Period: 1890 BCE to 1890 BCE
Almond Blossoms
-
Period: 1890 BCE to 1890 BCE
Wheatfield with Crows
-
Period: 1890 BCE to 1890 BCE
Vincent Van Gogh: Tree Roots
-
1889 BCE
starry-night
ภาพ “ราตรีประดับดาว” นี้เขียนโดยศิลปินชาวดัตช์ วินเซนต์ แวน โก๊ะ แม้ว่าแวน โก๊ะจะขายภาพเขียนได้เพียงภาพเดียวในชีวิตของเขา แต่ผลพวงจากงานของเขานั้นยิ่งใหญ่มาก Starry Night เป็นหนึ่งในที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา และได้กลายเป็นหนึ่งในภาพที่รู้จักกันดีที่สุดในวัฒนธรรมสมัยใหม่ ภาพเขียนแสดงให้เห็นหมู่บ้าน Saint-Rémy ภายใต้ท้องฟ้าที่หมุนวน ในมุมมองจากที่หลบภัยไปทางทิศเหนือ ต้นไซปรัสทางด้านซ้ายถูกเพิ่มเข้าไปในองค์ประกอบ ภาพนี้ถูกเก็บไว้อย่างถาวรที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในกรุงนิวยอร์ก ตั้งแต่ปี 1941 -
1889 BCE
The Night Watch
ภาพนี้เขียนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1642 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของยุคทองของชาวดัตช์ The Night Watch เป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่เขียนโดยแร็มบรันต์ ฟัน ไรน์ จิตรกรชาวดัตช์ ภาพแสดงให้เห็นหน่วยทหารยามของเมืองที่กำลังเคลื่อนพลออกมา นำโดยกัปตันฟรันส์ บันนิง โกก และผู้ช่วยของเขา ภาพเขียนถูกเคลือบด้วยน้ำมันวานิชสีเข้มซึ่งทำให้เห็นว่ามันเป็นฉากเวลากลางคืนซึ่งเป็นที่มาของชื่อ The Night Watch นั่นเอง น้ำมันวานิชนี้ถูกลบออกไปในช่วงทศวรรษ 1940s ภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติในอัมสเตอร์ดัม -
1889 BCE
Self-Portrait Without Beard
ภาพ Self-Portrait Without Beard เป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดตลอดกาล แวน โก๊ะ ได้เขียนภาพเหมือนของเขาไว้จำนวนมาก Self-Portrait Without Beard อาจจะเป็นภาพเหมือนภาพสุดท้ายของเขา และที่มันมีชื่อเสียงมากที่สุดเป็นเพราะมันเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพที่แสดงตัวเขาแบบไม่มีเครา ภาพนี้ถูกขายไปในราคา 71.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1998 ที่นิวยอร์ก ณ ขณะนั้นมันเป็นภาพที่มีราคาแพงที่สุดอันดับ 3 -
1889 BCE
Self-Portrait with Bandaged Ear
ในบ้านสีเหลืองแห่งนี้เอง แวน โกะห์ ตระเตรียมห้องหับเพื่อต้อนรับเพื่อนศิลปินอย่างโกแกงที่วางแผนมาเยี่ยมเยือนเขาในอาร์ลส์ แต่ถึงแม้แวน โกะห์ จะวาดหวังไว้อย่างสวยงามว่าทั้งคู่จะได้ร่วมกันทำงานและสร้างชุมชนศิลปะขึ้นในบ้านแห่งนี้ความฝันของเขากลับพังทลายอย่างไม่เป็นท่า นั่นเพราะแม้ทั้งคู่จะสนุกกับการทำงานในช่วงแรกและต่างวาดภาพที่เป็นตัวแทนของกันและกันหลายต่อหลายภาพ แต่ด้วยทัศนคติในการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แวน โกะห์ ชอบทำงานกลางแจ้งที่ได้ปะทะตอบโต้กับดินฟ้าอากาศรอบตัวอย่างตรงไปตรงมา -
Period: 1889 BCE to 1889 BCE
starry-night
-
Period: 1889 BCE to 1889 BCE
Self-Portrait Without Beard
-
Period: 1889 BCE to 1889 BCE
The Night Watch
-
Period: 1889 BCE to 1889 BCE
Self-Portrait with Bandaged Ear
-
1888 BCE
The Yellow House (The street)
ปี 1888 แวน โกะห์ ย้ายออกจากบ้านของธีโอในปารีสไปอยู่ในเมืองอาร์ลส์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยไปเช่าบ้านที่มีชื่อเรียกว่า ‘บ้านสีเหลือง’ และวาดภาพทิวทัศน์ท้องทุ่งดอกไม้ ท้องทะเล ทิวทัศน์เมือง และบุคคล ไม่ว่าจะเป็นภาพ The Yellow House (The street) (1888), The Bedroom (1888) และผลงานที่เพิ่งถูกค้นพบล่าสุดเมื่อปี 2013 อย่าง Sunset at Montmajour (1888) -
Period: 1888 BCE to 1888 BCE
The Yellow House (The street)
-
1887 BCE
Self-Portrait with Grey Felt Hat
ช่วงปี 1886 แวน โกะห์ เข้าเรียนในสถาบัน Antwerp Academy เป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่อาศัยในปารีสกับ Theo น้องชายของเขาซึ่งเป็นนายหน้าค้างานศิลปะผู้มีชื่อเสียง ที่นั่น ธีโอแนะนำให้เขารู้จักกับผลงานของศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง Claude Monet, Pierre-Auguste Renoir และ Georges Seurat ซึ่งส่งอิทธิพลต่อการทำงานของเขาอย่างมาก แวน โกะห์ ได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับศิลปินหนุ่มอีกคนอย่าง Paul Gauguin ในช่วงเวลาด้วย -
1887 BCE
Courtesan after Eisen
ในช่วงนั้นเองที่แวน โกะห์ เริ่มสนใจงานศิลปะญี่ปุ่นที่เรียกว่า Ukiyo-e อันเต็มไปด้วยสีสันสดใสฉูดฉาดบาดตา เขาและศิลปินในยุคสมัยนั้นอย่าง โมเนต์ และ Edgar Degas ต่างสะสมภาพเหล่านี้และได้รับอิทธิพลของการใช้องค์ประกอบและสีสันมากันถ้วนหน้า เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความนิยมที่เรียกขานว่า Japonisme นั่นเอง ด้วยอิทธิพลนี้ แวน โกะห์ คัดลอกและดัดแปลงภาพนางโลมของศิลปินอุกิโยเอะชาวญี่ปุ่น Keisai Eisen ออกมาเป็นแบบฉบับ -
Period: 1887 BCE to 1887 BCE
Courtesan after Eisen
-
Period: 1887 BCE to 1887 BCE
Self-Portrait with Grey Felt Hat
-
1885 BCE
The Potato Eaters
ถึงอย่างนั้น ชีวิตของแวน โกะห์ กลับไม่สดใสอย่างภาพเพราะหลังจากนั้นเขาประสบกับมรสุมชีวิต ทั้งจากการเสียชีวิตของพ่อและความผิดหวังในความรัก ปลายปี 1883-1885 แวน โกะห์ ใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านทางเหนือของเมืองนูนเอิน และมุ่งเน้นบันทึกภาพชีวิตของชาวไร่ ชาวนา และช่างทอผ้า ในช่วงนี้นี่เองที่เขาวาด The Potato Eaters (1885) ที่นำเสนอภาพชีวิตของครอบครัวชาวนาล้อมวงกินอาหารมื้อค่ำอย่างสมถะ แสดงให้เห็นแสงเงาอันจัดจ้านที่เขาได้รับอิทธิพลมาจากเรมบรันดต์ -
Period: 1885 BCE to 1885 BCE
The Potato Eaters
-
1883 BCE
Bulb Fields
ในปี 1883 เขาวาดภาพ Bulb Fields (1883) ภาพทิวทัศน์ทุ่งดอกไม้สีขาว น้ำเงิน ชมพู และเฉดสีทองของผืนดิน กับเนินเขาสุดลูกหูลูกตาและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆขาวโพลน ซึ่งการใช้แสงสีอันสดใสในภาพนี้นี่แหละที่จะกลายเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นในการทำงานของเขาในภายหลัง -
Period: 1883 BCE to 1883 BCE
Bulb Fields
-
1882 BCE
View of the Sea at Scheveningen
ปี 1882 เขาวาดภาพทิวทัศน์สีน้ำมันภาพแรกๆ ของตัวเองอย่าง View of the Sea at Scheveningen (1882) นำเสนอทิวทัศน์ท้องทะเลใกล้กับกรุงเฮกในรูปแบบเหมือนจริงผสมกับการใช้ฝีแปรงอันหนาหนักแบบ Impasto ซึ่งคล้ายคลึงกับงานศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำลังเฟื่องฟูในยุคนั้น นอกจากนี้เขายังได้รับการว่าจ้างให้วาดภาพลายเส้นทิวทัศน์เมืองของกรุงเฮกจากลุงของเขาอีกด้วย -
1882 BCE
Edouard Manet: A Bar At The Folies-Bergère
Édouard Manet (1832 – 1883) was a French painter. He was one of the first 19th-century artists to paint modern life, and a central figure in the transition from Realism to Impressionism. His last painting was A Bar at the Folies-Bergère (Un bar aux Folies Bergère), which was completed in 1882, just a year before he died after having his foot amputated due to gangrene. It originally belonged to the composer Emmanuel Chabrier, who was Manet's neighbor, and hung over his piano. -
Period: 1882 BCE to 1882 BCE
View of the Sea at Scheveningen
-
Period: 1882 BCE to 1882 BCE
Edouard Manet: A Bar At The Folies-Bergère
-
1881 BCE
Life and Art of Van Gogh
Vincent Willem van Gogh (ภาษาดัตช์ออกเสียงว่า ‘ฟัน โคค’) เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบราบันต์ ตำบลซันเดิร์ต ประเทศเนเธอร์แลนด์ในครอบครัวของบาทหลวง สมัยเด็กเขามีบุคลิกขี้อาย อ่อนไหว เงอะงะ และเก็บตัว เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาเริ่มต้นอาชีพการงานด้วยการเป็นลูกจ้างในแกลเลอรีค้างานศิลปะของคุณลุง แต่ด้วยความซื่อและเถรตรง เขาจึงเบื่อหน่ายเมื่อแกลเลอรีมักจะเอางานชั้นเลวมาหลอกขายให้ลูกค้าที่ไม่รู้จักงานศิลปะ หลายต่อหลายครั้งเขาถึงกับบอกให้ลูกค้าไม่ซื้อภาพวาดเหล่านั้นจนทำให้ถูกไล่ออกจากงานในที่สุด -
Period: 1881 BCE to 1881 BCE
Life and Art of Van Gogh
-
1876 BCE
Dance at Le moulin de la Galette
ภาพ Dance at Le moulin de la Galette เป็นภาพเขียนชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของสมัยอิมเพรสชันนิสม์ เป็นภาพบรรยากาศบ่ายวันอาทิตย์ที่พบทั่วไปที่มูแล็งเดอลากาแล็ต เขตมงมาร์ต ในปารีส ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 บ่ายวันอาทิตย์ชนชั้นแรงงานในปารีสนิยมแต่งตัวกันอย่างสวยงามเพื่อออกไปสังสรรค์ เต้นรำ กินของหวาน (galette) กันจนค่ำ งานชิ้นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับงานชิ้นอื่นๆของเรอนัวร์ที่เป็นงานแบบศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ซึ่งเป็นภาพที่จับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วขณะหนึ่งของชีวิตจริง -
Period: 1876 BCE to 1876 BCE
Dance at Le moulin de la Galette
-
1871 BCE
whistlers-mother
Whistler’s Mother เป็นชื่อที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการของภาพเขียนสีน้ำมันที่ชื่อ Arrangement in Grey and Black: The Artist’s Mother เขียนโดยเจมส์ แม็คนีลล์ วิสต์เลอร์ จิตรกรชาวอเมริกา ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพเขึยนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของศิลปินชาวอเมริกัน และมักจะเรียกว่าสัญลักษณ์ของอเมริกันหรือโมนาลิซาสมัยวิกตอเรีย แอนนา แม็คนีลล์ วิสต์เลอร์นั่งเป็นแบบให้วิสต์เลอร์เขียนในห้องนั่งเล่นในกรุงลอนดอน ปัจจุบันภาพ Whistler’s Mother จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส -
Period: 1871 BCE to 1871 BCE
whistlers-mother
-
1864 BCE
Sappho and Erinna in a Garden at Mytilene
ภาพ แซพโฟ กับ อีรินนา ที่กำลังตระกองกอดกันในสวน Mytilene นี้คือผลงานที่ ไซเมียน โซโลมอน ศิลปินคนสำคัญแห่งยุค Pre-Raphaelites ได้แรงบันดาลใจมาจากบทกวีที่ถูกเขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 โดยหญิงสาวนาม แซพโฟ ผู้ร่ายลำนำนี้เพื่ออ้อนวอนให้ อะโฟรไดตี เทพีแห่งความรัก ช่วยดลบันดาลให้ความรักระหว่างเธอกับเพื่อนสาว อิรินา สุขสมหวัง ซึ่งในกาลต่อมา บ้านเกิดของแซพโฟที่เป็นเกาะในประเทศกรีกที่มีชื่อว่า เลสโบ (Lesbos) ก็จะกลายเป็นคำนิยามของกลุ่มหญิงรักหญิง หรือ เลสเบียน นั่นเอง -
Period: 1864 BCE to 1864 BCE
Sappho and Erinna in a Garden at Mytilene
-
1863 BCE
Olympia
ภาพ Olympia เขียนโดยเอดัวร์ มาแน เป็นภาพผู้หญิงผิวขาวนอนเปลือยอยู่บนเตียง มีสาวใช้ผิวดำกำลังส่งดอกไม้ให้ จัดแสดงครั้งแรกในปี 1865 ที่นิทรรศการศิลปะแห่งปารีส ซึ่งได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเพราะมีหลายคนมองว่าเป็นภาพของโสเภณี ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะว่าเป็นภาพผู้หญิงเปลือยเพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบหลายอย่างเช่นดอกกล้วยไม้ที่ประดับผม กำไลข้อมือ ต่างหู ผ้าคลุมไหล่ที่เธอนอนทับอยู่ ริบบิ้นสีดำรอบคอที่ตัดกันอย่างมากกับผิวที่ขาวซีด -
Period: 1863 BCE to 1863 BCE
Olympia
-
1830 BCE
Liberty Leading People
ภาพนี้เป็นภาพตัวแทนจิตวิญญาณของการปฏิวัติฝรั่งเศสชื่อภาพแปลตรงตัวว่า เสรีภาพนำประชาชน เนื้อหาของภาพ มาจากเหตุการณ์ปฏิวัติที่เรียกว่า “ปฏิวัติเดือนกรกฎาคม” (July Revolution) ค.ศ.1830 การปฏิวัติ โดยประชาชนครั้งที่ 2 หลังจากการปฏิวัติครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1789 ยุคนี้อำนาจสูงสุดกลับมาอยู่ในมือของเชื้อพระวงศ์อย่างพระเจ้าชาร์ลที่ 10 พยายามกลับไปรื้อฟื้นระบบเก่าสมัยราชวงศ์บูร์บงปกครองขึ้นมาและไม่สนความแร้นแค้นของประชาชนอยู่ดี -
Period: 1830 BCE to 1830 BCE
Liberty Leading People
-
Period: 1830 BCE to 1832 BCE
Thirty-six Views of Mount Fuji
-
1816 BCE
The Raft of Medusa
ภาพแพของเมดูซา เป็นงานในแนวศิลปะโรแมนติก (Romantic Art) ซึ่งเกิดขึ้นต่อจากยุคที่ศิลปะนีโอคลาสสิกเสื่อมไป พร้อมกับการสิ้นอำนาจของจักรพรรดินโปเลียน ภาพเขียนศิลปะโรแมนติก ไม่ได้แปลว่าจะต้องนำเสนอความฟุ้งฝันแบบอารมณ์โรแมนติก แต่เป็นภาพเขียนสองมิติที่ดูแล้วมีเลือดเนื้อและส่งต่ออารมณ์กระเพื่อมไหวรุนแรง จุดเด่นของภาพนี้อยู่ที่ขนาดที่ใหญ่จนสามารถวาดภาพคนที่มีขนาดใหญ่เท่าตัวคนจริง -
Period: 1816 BCE to 1816 BCE
The Raft of Medusa
-
1805 BCE
The Coronation of Napoleon
ภาพเขียนถึงเหตุการณ์การสวมมงกุฎของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในวันราชาภิเษกที่โบสถ์น็อทร์-ดามกรุงปารีส เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1804 ในยุคหลังการโค่นล้มราชวงศ์บูร์บงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ภาพเขียนนี้เขียนขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1805-1807 โดย ฌาคส์-หลุยส์ ดาวิด ผู้ได้รับการสถาปนาให้เป็น “ผู้บัญชาการทางศิลปะ” อาณาจักรใหม่ของฝรั่งเศส ดาวิดได้รื้อฟื้นเรื่องราวและรูปแบบคลาสสิกของโรมันมาใช้ ภาพการสวมมงกุฎของนโปเลียน เป็นภาพขนาดมหึมา -
Period: 1805 BCE to 1807 BCE
The Coronation of Napoleon
-
1784 BCE
The Oath of the Horatii
รูปแบบงานเป็นศิลปะนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) ที่รื้อฟื้นเอาโครงสร้างและตัวเรื่องมาจากสมัยกรีก-โรมัน และรุ่งเรืองในแวดวงศิลปะของฝรั่งเศสหลังการปฏิวัติหมาด ๆ โดยต้นเรื่องของภาพมาจากเรื่องเล่ายุคโรมันโบราณที่เล่าถึง ทหารหนุ่มสามคนซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของภาพ เขาเป็นสามพี่น้องตระกูลโฮราทีที่กำลังเอื้อมตัวไปหาพ่อ เพื่อร่วมต่อสู้ทวงสิทธิดินแดนจากคู่ปรปักษ์คือ สามพี่น้องตระกูลกูราติขณะที่ฝ่ายชายแสดงความกล้าหาญและความแข็งแรง มุ่งมั่นสะท้อนคติของความเป็นชายชาติทหารรักษ์ดินแดน ความรักชาติ -
Period: 1784 BCE to 1784 BCE
The Oath of the Horatii
-
1783 BCE
Marie-Antoinette with the Rose
ภาพเขียนสีน้ำมันบนผืนผ้าใบโดยศิลปินหญิงในราชสำนักฝรั่งเศส ในรูปภาพศิลปะแนวโรโกโก เป็นภาพเหมือนภาพที่สองของพระนางมารีอ็องตัวแน็ต ที่วาดโดย VigéeLe Brun ศิลปินในราชินูปถัมภ์ภาพนี้เป็นภาพในอิริยาบถอ่อนหวานของพระราชินีในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินอมเทาที่เป็นผ้าไหมทอจากเมืองลียง ในมือถือกุหลาบที่เด็ดมาจากสวนสะพรั่งในพระราชวังแวร์ซาย ฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีสวยและบรรยากาศร่มรื่นสะท้อนชีวิตรื่นรมย์ในสวนของแวร์ซาย -
Period: 1783 BCE to 1783 BCE
Marie-Antoinette with the Rose
-
1765 BCE
The Bathers
ภาพเขียนด้วยศิลปะแนวโรโกโก เทคนิค ภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบ ภาพสีสวยหวานฝีแปรงมีความละมุนดูอ่อนโยน เน้นธีมความรัก ตำนานเทพต่าง ๆ ความอ่อนเยาว์และวิถีชีวิตที่ร่าเริงสนุกสนาน ศิลปะแนวนี้รุ่งเรืองในยุคที่ฝรั่งเศสถูกปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ -
Period: 1765 BCE to 1765 BCE
The Bathers
-
1669 BCE
Rembrandt: Simeon With The Christ Child In The Temple, Unfinished
This painting by Rembrandt van Rijn (1606-1669) was found uncompleted in his studio prior to his sudden death aged 63. It now hangs in the National Museum in Stockholm, Sweden. The painting depicts an old man holding an infant, a subject he had painted twice before. The work illustrates a passage from the Gospel of St. Luke, in which Mary and Joseph take Jesus to the temple in Jerusalem. -
Period: 1669 BCE to 1669 BCE
Rembrandt: Simeon With The Christ Child In The Temple, Unfinished
-
1665 BCE
Girl With A Pearl Earring
บางคนเรียกภาพนี้ว่า “โมนาลิซาของชาวดัตช์” Girl With A Pearl Earring ถูกเขียนโดยโยฮัน เฟอร์เม เรารู้เกี่ยวกับเฟอร์เมและผลงานของเขาน้อยมาก และภาพนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น มันไม่ได้ลงวันที่และไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นงานที่รับจ้างเขียนหรือไม่ และถ้าใช่ แล้วใครเป็นผู้จ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภาพนี้มิได้จงใจจะให้เป็นภาพเหมือนธรรมดา Tracy Chevalier ได้เขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในปี 1999 โดยสร้างตัวละคร สิ่งแวดล้อม และเหตุการณ์ต่างๆที่นำมาสู่การเขียนภาพนี้ ต่อมานวนิยาย -
1665 BCE
William Blake
ศิลปินระดับตำนานชาวอังกฤษ อย่าง William Blake เองก็วาดภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน (Great Plague of London) ในช่วงปี 1665-1666 เชื้อในครั้งนั้นเชื่อกันว่าเป็นเชื้อกาฬโรคที่ทำให้ชนชั้นนำและเศรษฐีมีเงิน ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ชาร์ลที่ 2 ต่างก็ละทิ้งเมืองหลวง หนีโรคภัยออกไปอยู่ในชนบท ทิ้งคนยากคนจนเป็นเหยื่อโรคระบาด ประมาณการว่าโรคร้ายครั้งนั้นคร่าชีวิตผู้คนไปราว 75,000-100,000 คน หรือราวหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมดของกรุงลอนดอนในเวลานั้น -
Period: 1665 BCE to 1665 BCE
Girl With A Pearl Earring
-
Period: 1665 BCE to 1666 BCE
William Blake
-
1610 BCE
Caravaggio: Martyrdom Of Saint Ursula
Michelangelo Merisi (Michael Angelo Merigi or Amerighi) da Caravaggio (1571 – 1610) was an Italian painter. His work is characterised by a dramatic use of lighting, and he is thought to have had a formative influence on Baroque painting. His last work is thought to be The Martyrdom of Saint Ursula. It is now a part of the Intesa Sanpaolo Collection in the Gallery of Palazzo Zevallos Stigliano, Naples. Caravaggio died in 1610 while on his way to receive a pardon from the Pope for his part . -
Period: 1610 BCE to 1610 BCE
Caravaggio: Martyrdom Of Saint Ursula
-
1569 BCE
Pieter Bruegel The Elder: Storm At Sea, Unfinished
Pieter Bruegel the Elder (1525-1569) was a Netherlandish Renaissance painter and printmaker known for his peasant scenes and landscapes. His last work was Storm at Sea, an unfinished oil-on-panel painting depicting ships in the midst of choppy waters. It can be found in the Kunsthistorisches Museum in Vienna. -
Period: 1569 BCE to 1569 BCE
Pieter Bruegel The Elder: Storm At Sea, Unfinished
-
1562 BCE
Pieter Bruegel the Elder
ไม่ถึงศตวรรษหลังจากนั้น Pieter Bruegel the Elder จิตรกรคนสำคัญแห่งยุคเฟลมมิชเรอเนซองซ์ในศตวรรษที่ 16 ก็วาดภาพ The Triumph of Death (1562) ที่แสดงถึงความโกลาหลวุ่นวายและความหวาดผวาต่อโรคระบาดที่จู่โจมยุโรปในยุคกลางอย่างรุนแรงและคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายมหาศาล -
Period: 1562 BCE to 1562 BCE
Pieter Bruegel the Elder
-
1520 BCE
Raphael: The Transfiguration
Raffaello Sanzio da Urbino (1483 – April 6, 1520) known as Raphael, was an Italian painter and architect of the High Renaissance. Together with Michelangelo and Leonardo da Vinci, he forms the traditional trinity of great masters of that period. His last work was The Transfiguration (1520). It was commissioned by Cardinal Giulio de Medici, the later Pope Clement VII (1523–1534), and it can now be found in the Pinacoteca Vaticana in Vatican City. -
Period: 1520 BCE to 1520 BCE
Raphael: The Transfiguration
-
1510 BCE
The Creation Of Adam
ภาพนี้อยู่บนเพดานของโบสถ์น้อยซิสติน (Sistine Chapel) ภายในกรุงวาติกัน เขียนโดยไมเคิลแองเจโล ระหว่างปี 1508 ถึง 1512 เป็นหนึ่งในงานศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เพดานโบสถ์ตกแต่งด้วยภาพเขียนเหตุการณ์จากพระคัมภีร์ปฐมกาล 9 ภาพ The Creation Of Adam คือภาพที่อยู่ตรงกลาง The Creation Of Adam เป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดตลอดกาล และถูกล้อเลียนมากมายนับไม่ถ้วน -
Period: 1508 BCE to 1512 BCE
The Creation Of Adam
-
1504 BCE
Mona Lisa
โมนาลิซาเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกตลอดกาล เขียนโดยเลโอนาร์โด ดาวินชีในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เขาเริ่มเขียนภาพโมนาลิซาในปี 1503 หรือ 1504 และทำเสร็จไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1519 ภาพเขียนตั้งชื่อตาม Lisa del Giocondo ซึ่งเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ในปี 1911 โมนาลิซาถูกขโมยออกไปจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์โดยลูกจ้างที่ชื่อ Vincenzo Peruggia ผู้รักชาติชาวอิตาลีที่เชื่อว่าโมนาลิซาควรจะกลับไปอยู่ที่อิตาลี หลังจากที่เก็บภาพไว้ในอพาร์ตเมนต ์ -
Period: 1503 BCE to 1506 BCE
Mona Lisa
-
Period: 1497 BCE to 1499 BCE
Josse Lieferinxe, Saint Sebastian Interceding for the Plague Stricken
-
1496 BCE
The Last Supper
ภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายเป็นจิตรกรรมฝาผนังศตวรรษที่ 15 เขียนขึ้นโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ผนังด้านหลังของโรงอาหารในโบสถ์ Santa Maria Delle Grazie ในเมืองมิลาน เป็นภาพแสดงเหตุการณ์พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่พระเยซูประกาศว่าหนึ่งในสิบสองอัครสาวกจะทรยศพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะถูกนำไปตรึงกางเขน ดา วินชีเริ่มเขียนภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายในปี 1495 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1498 แต่เขาไม่ได้เขียนภาพอย่างต่อเนื่อง -
Period: 1495 BCE to 1498 BCE
The Last Supper
-
1486 BCE
Birth of Venus
ภาพ Birth of Venus ซึ่งบอตติเชลลีได้รับแรงบันดาลใจจากถ้อยคำในบทสวดสมัยกรีกโบราณ เป็นภาพของเทพีวีนัสยืนบนเปลือกหอยที่ลอยมาจากทะเลมาเกยฝั่งจากการถูกเป่ามาโดยเซไฟรัส(Zephyrus) ผู้เป็นเทพแห่งลมตะวันตกและเป็นสัญลักษณ์ของความไคร่ โดยมีเทพีโฮแร (Horae) ซึ่งเป็นเทพีแห่งฤดูมารออยู่และยื่นมอบเสื้อคลุมลายดอกไม้ให้ ปัจจุบันภาพ Birth of Venus จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟิซิ ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี -
Period: 1486 BCE to 1486 BCE
Birth of Venus
-
1476 BCE
Dance at Le moulin de la Galette
ภาพ Dance at Le moulin de la Galette เป็นภาพเขียนชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของสมัยอิมเพรสชันนิสม์ เป็นภาพบรรยากาศบ่ายวันอาทิตย์ที่พบทั่วไปที่มูแล็งเดอลากาแล็ต เขตมงมาร์ต ในปารีส ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 บ่ายวันอาทิตย์ชนชั้นแรงงานในปารีสนิยมแต่งตัวกันอย่างสวยงามเพื่อออกไปสังสรรค์ เต้นรำ กินของหวาน (galette) กันจนค่ำ งานชิ้นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับงานชิ้นอื่นๆของเรอนัวร์ที่เป็นงานแบบศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ -
Period: 1476 BCE to 1476 BCE
Dance at Le moulin de la Galette
-
1434 BCE
The Arnolfini Portrait
ยัน ฟัน ไอก์ จิตรกรชาวดัตช์เขียนภาพ The Arnolfini Portrait ในปี 1434 เชื่อกันว่าเป็นภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี พ่อค้าจากเมืองลูคคา ในอิตาลีและภรรยา ในห้องที่อาจจะเป็นที่พำนักในเมืองบรูช มณฑลฟลานเดอส์ ประเทศเบลเยียม ที่ถือกันว่าเป็นต้นแบบและมีความซับซ้อนมากที่สุดภาพหนึ่งของจิตรกรรมตะวันตก The Arnolfini Portrait เป็นภาพเขียนที่สวยงามมีมิติน่าประทับใจ จากรายละเอียดต่างๆในภาพโดยเฉพาะการใช้แสงและการสร้างช่องว่างภายในของภาพ สามารถทำให้ผู้ชมเชื่อว่าเป็นภาพของห้องและผู้ที่อยู่ในห้องนั้นจริงๆ -
Period: 1434 BCE to 1434 BCE
The Arnolfini Portrait