-
10,000 BCE
ยุคหินเก่า
2.5ล้านปี-10,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น และดำรงชีพอยู่ ทางตะวันออกของ แอฟริกา ต่อมามีมนุษย์จำนวนหนึ่ง
กระจายไปยังเอเชียยุโรปและอเมริกา เร่ร่อน
เก็บของป่าล่าสัตว์ อยู่ในถ้ำ เครื่องมือหินกระเทาะ รู้จักใช้ไฟ นุ่งห่มหนังสัตว์ ศิลปะภาพวาดผนังถ้ำ มีภาษาพูด พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายมีภาษาพูด พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย -
Period: 10,000 BCE to 800
ยุคหินเก่า
ยุคหินเก่า เป็นช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีจุดเด่นอยู่ที่การพัฒนาเครื่องมือหินยุคแรกเริ่ม และครอบคลุมประมาณ 95% ของเทคโนโลยีก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์[1] เริ่มตั้งแต่การใช้เครื่องมือหินครั้งแรก คาดว่าโดย Homo habilis เมื่อ 2.6 ล้านปีก่อน จนถึงปลายสมัยไพลสโตซีนประมาณ 10,000 ปีก่อนปัจจุบัน -
3600 BCE
สมัยประวัติศาสตร์
สมัยประวัติศาสตร์ เป็นช่วงที่มีตัวอักษรใช้บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆแล้ว การศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนในสมัยประวัติศาสตร์ นักวิชาการจึงใช้ทั้งจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จารึก จดหมายเหตุ เป็นต้น และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เจดีย์ ปราสาทหิน วัด พระพุทธรูป เงินเหรียญ เป็นต้น -
3500 BCE
สมัยโบราณ
ฟาโรห์ ผู้ปกครองอารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมที่โด่งดังในสมัยโบราณสมัยโบราณความหมายที่เป็นสากล จะหมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักการตั้งถิ่นฐานถาวร สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม อักษรต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งในแต่ละประเทศ สมัยโบราณจะมาถึงเร็วหรือช้า จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาใดทีประเทศนั้นอยู่ในช่วงสร้างและประดิษฐ์อารยธรรมที่จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าอารยธรรมของประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลานั้น ของประเทศนั้น ก็จะจัดอยู่ในช่วงสมัยโบราณ -
Period: 3500 BCE to 467
สมัยโบราณ
สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลกจะตรงกับ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 476 เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว อารยรรมที่โด่งดังจำนวนมากของโลกถือกำเนิดในช่วงนี้ เช่น อารยธรรมโรมัน กรีก เมโสโปเตเมีย จีน อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ทั่วโลกจึงกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวให้เป็นสมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก
สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับเอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูงในสังคมโรมัน -
3300 BCE
ยุคทองเเดง
ยุคทองแดง (ประมาณ 3300–1200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) คือช่วงเวลาที่ทองแดงกลายเป็นวัสดุหลักในการผลิตเครื่องมือและอาวุธ เทคโนโลยีการหลอมโลหะพัฒนาขึ้น ทำให้เกิดการผลิตสิ่งของที่มีความแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งช่วยพัฒนาการเกษตรและการค้า อารยธรรมที่สำคัญในยุคนี้ยุคทองแดง ก่อนยุคสำริด เดิมนิยามยุคทองแดงว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคหินใหม่และยุคสำริด แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุคหินใหม่
แหล่งโบราณคดี ระบุอายุแน่ชัดเก่าแกสุดในโลกตั้งแต่ 5,000 ปีก่อน ค.ศ -
Period: 3300 BCE to 1200
ทองเเดง
เมโสโปเตเมีย: การก่อตั้งเมืองรัฐและการพัฒนาการเขียน (คูนิฟอร์ม)
อียิปต์: การสร้างพีระมิดและการพัฒนาโครงสร้างสังคม
วัฒนธรรมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน: การค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ในช่วงนี้ยังมีการพัฒนาเครื่องปั้นดินเผาและศิลปะที่หลากหลาย -
2070 BCE
จีนโบราณ
จีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่า อารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือการสร้างระบบภาษาเขียน และการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อ ประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไปในบางครั้งก็ถูกปกครอง โดยชนชาติอื่น วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพการค้าและการยึดครอง -
Period: 2070 BCE to 221
จีน
กระดูกเสี่ยงทายเป็นคลังข้อมูลสำคัญแรกสุดของการเขียนภาษาจีนด้วยอักษรจีนยุคแรก ข้อความบนกระดูกเสี่ยงทายมีตัวอักษรที่แตกต่างกันราว 5,000 ตัวอักษร แม้จะมีเพียง 1,200 ตัวอักษรที่ได้รับการจำแนกอย่างชัดเจน กระดูกเสี่ยงทายให้ข้อมูลสำคัญช่วงปลายราชวงศ์ชาง และนักวิชาการจำลองลำดับราชวงศ์ชางจากข้อความบนกระดูกเหล่านี้ มีการขุดพบ ... -
1800 BCE
ยุคสมัยใหม่
ยุคเรอเนสซองส์ศตวรรษที่ 14-17 เน้นการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาศาสตร์ของยุคกรีก-โรมัน โดดเด่นด้วยการพัฒนาในด้านศิลปะและการค้นคว้าวิจัย
ยุคการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ศตวรรษที่ 16-17 การพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์
ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 18-19 การเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการผลิตและชีวิตประจำวัน
ยุคสมัยใหม่ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมการพัฒนาในด้านเทคโนโลยี การสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง -
Period: 1760 BCE to
สมัยใหม่
เกิดศาสนาคริสต์ 2 นิกาย คือ โรมัน คาทอลิก และโปรเตสแตนส์
การสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
และการค้นพบดินแดนโลกใหม่ เรียกยุคนี้ว่า
สมัยแห่งการค้นพบการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และยุคแห่งการรู้แจ้ง(คริสต์ศตวรรษที่17-18)
มีความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรม
เริ่มต้นที่อังกฤษในช่วงค.ศ.1760 แล้วค่อยๆ
ขยายไปยังประเทศยุโรปอื่นการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สมัยใหม่สิ้นสุดลง และเข้าสู่ สมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา -
1600 BCE
ยุคการปฏิวัติ
ยุคการปฏิวัติ (Revolutionary Era)
ประมาณ 17th - 18th ศตวรรษ (1600 - 1800 ค.ศ.)
การปฏิวัติทางการเมืองและวิทยาศาสตร์ เช่น การปฏิวัติอเมริกาและการปฏิวัติฝรั่งเศส -
Period: 1600 BCE to
ยุคปฏิวัติ
การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1825 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม การผลิต การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยายไปยังยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น จนขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมา -
1300 BCE
ยุคกลางปลาย
ยุคกลางปลายค.ศ. 1300-1500
การเกิดสงครามใหญ่ เช่น สงครามร้อยปี
การเกิดโรคระบาด เช่น กาฬโรค
การเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสังคมยุโรสมัยกลางตอนปลาย คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรปที่กินเวลาระหว่าง ค.ศ. 1250 จนถึง ค.ศ. 1500 โดยเป็นยุคสมัยที่ต่อเนื่องมาจากสมัยกลางตอนกลาง และเป็นยุคสมัยก่อนสมัยใหม่ตอนต้น (ซึ่งในยุโรปส่วนใหญ่นั้นเรียกว่าสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา)สมัยกลางตอนปลาย
ภูมิภาคยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน -
Period: 1300 BCE to 1500
ยุคกลางปลาย
สงครามร้อยปีสงครามระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1337 และยืดเยื้อไปจนถึงปี ค.ศ. 1453 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรป
กาฬโรคการระบาดของกาฬโรคในช่วงปี ค.ศ. 1347-1351 ที่คร่าชีวิตประชากรยุโรปประมาณหนึ่งในสาม และส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจการเกิดและการเปลี่ยนแปลงในสถาบันศาสนา: การเกิดการเคลื่อนไหวทางศาสนา การเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เน้นความสนใจในศิลปะ, วิทยาศาสตร์, และการศึกษา ซึ่งเริ่มต้นในอิตาลีและแพร่ไปทั่วยุโรป -
656 BCE
ยุคเหล็ก
ยุคเหล็กป็นยุคสุดท้ายของยุคโลหะ ซึ่งมาหลังจากยุคทองแดงและยุคสัมฤทธิ์ตามลำดับ[1]
นอกจากนี้ ยังถือเป็นยุคสุดท้ายในระบบการแบ่งยุคประวัติศาสตร์ 3 ยุค เริ่มต้นจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ (หมายถึงยุคก่อนมีการบันทึกประวัติศาสตร์) ต่อเนื่องมายังยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (ยุคก่อนมีการเขียนประวัติศาสตร์) ในบริบทนี้ ยุคหิน (แบ่งเป็นยุคหินเก่า, ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่) -
Period: 652 BCE to 6
ยุคเหล็ก
ในอานาโตเลียและเทือกเขาคอเคซัสหรือยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ยุคเหล็กเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล (ประมาณ 1300 ปีก่อนคริสตกาล)[3] ในตะวันออกใกล้โบราณ การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการล่มสลายของยุคสัมฤทธิ์ตอนปลาย ในช่วงศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสตกาล เทคโนโลยีนี้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน และเอเชียใต้ อย่างรวดเร็วระหว่างศตวรรษที่ 12 ถึง 11 ก่อนคริสตกาล การแพร่กระจายต่อไปยังเอเชียกลาง, ยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง ล่าช้ากว่าเล็กน้อย ยุโรปเหนือ -
500 BCE
สมัยกลางตอนต้น
สมัยกลางตอนต้น เป็นสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป เริ่มขึ้นหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันและดำเนินต่อเนื่องกันเป็นเวลาประมาณห้าร้อยปีโดยเริ่มตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 500 จนกระทั่งมาถึงราวปี ค.ศ. 1000 สมัยกลางตอนต้นสิ้นสุดแล้วจึงต่อด้วยสมัยกลางตอนกลาง -
Period: 500 BCE to 1000
สมัยกลางตอนต้น
สมัยกลางตอนต้น (Early Middle Ages) เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 500 และสิ้นสุดประมาณ ค.ศ. 1000 ช่วงเวลานี้เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุโรปหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน มีการเกิดขึ้นของอาณาจักรใหม่ เช่น อาณาจักรแฟรงค์และอาณาจักรอังกฤษ ในด้านวัฒนธรรมและสังคม สมัยกลางตอนต้นเห็นการขยายตัวของศาสนาคริสต์ โดยมีบทบาทสำคัญในการรวมกลุ่มชนชาติและสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาทางการเกษตร เช่น การใช้เทคนิคใหม่ๆ และการปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ -
476 BCE
ยุคมืด
ยุคมืด (Dark Ages) โดยทั่วไปหมายถึงช่วงเวลาหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในประมาณปี ค.ศ. 476 จนถึงประมาณ ค.ศ. 1000 ช่วงนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นยุคที่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มีน้อย และการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ศิลปะและวิทยาศาสตร์ชะลอตัวลง -
Period: 476 BCE to 1000
ยุคมืด
ยุคมืด” เป็นความคิดที่เริ่มโดยนักปรัชญาชาวอิตาลีเพทราค ในคริสต์ทศวรรษ 1330 โดยมีความตั้งใจที่จะเป็นการวิจารณ์ลักษณะของวรรณกรรมภาษาละตินโดยทั่วไป นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาขยายความจนรวมไปถึงช่วงเวลาที่คาบระหว่างสมัยโรมันโบราณไปจนถึงยุคกลางตอนกลาง ที่รวมทั้งการขาดแคลนวรรณกรรมภาษาละติน, ขาดแคลนหลักฐานทางเอกสารทางประวัติศาสตร์, การลดจำนวนของประชากร, การลดจำนวนการก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม และการหยุดยั้งความเจริญทางวัตถุและทางวัฒนธรรมโดยทั่วไป -
15
ยุคเเห่งการค้นพบ
ยุคแห่งการสำรวจ หรือ ยุคแห่งการค้นพบ ( Age of Exploration หรือ Age of Discovery) เป็นช่วงระยะเวลาในประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ชาวยุโรปออกเดินทางไปสำรวจทางทะเลในโลกที่กว้างออกไปจากตัวทวีปยุโรปเองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคู่ค้าขายใหม่ และโดยเฉพาะเพื่อการแสวงหาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของตลาดตามต้องการ สินค้าที่เป็นที่ต้องการกันมากในยุโรปในขณะนั้นคือทอง เงิน และ เครื่องเทศ -
Period: 15 to 17
ยุคเเห่งการค้นพบ
ยุคแห่งการสำรวจประจวบกับช่วงที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มใช้เข็มทิศในการกำหนดและระบุเส้นทาง การใช้วิธีการเดินเรือเดินทะเลแบบใหม่ การมีแผนที่ใหม่ และความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยในการแสวงหาเส้นทางการค้าขายใหม่ไปยังเอเชียโดยเลี่ยงอุปสรรคถ้าการใช้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่วิวัฒนาการขึ้นสำหรับการเดินทางทางทะเลคือเรือชนิดใหม่สองแบบที่ออกแบบโดยโปรตุเกส- -
300
ยุคคลาสสิค
ยุคคลาสสิก
การแพร่กระจายของศาสนาคริสสมัยคลาสสิก เป็นยุคของดนตรีระหว่าง ค.ศ. 1750-1820 ดนตรีมีการเปิดกว้างสู่ประชาชนเป็นดนตรีนอกโบสถ์ มากขึ้น ดนตรีสมัยคลาสสิกมีลักษณะความเป็นจริง มีความสมดุล และชัดเจนในรูปแบบ ในยุคนี้ดนตรีบรรเลงมีความเด่นกว่าเพลงร้อง ดนตรีสมัยคลาสสิกเป็นดนตรีบริสุทธิ์ ดนตรีที่ไม่มีจินตนาการอยู่เบื้องหลัง ไม่มีบทกวีประกอบ เป็นดนตรีที่มีแต่เสียงดนตรีบริสุทธิ์ตรงข้ามกับดนตรีในสมัยโรแมนติกที่เป็นดนตรีพรรณนาคือดนตรีที่มีเรื่องราว ยุคนี้มีกรุงเวียนนาของออสเตรียเป็นศูนย์กลางของดนตรี -
Period: 300 to 500
ยุคคลาสิค
ยุคคลาสสิกในศิลปะและวรรณกรรมมีลักษณะเด่นคือการเน้นความสมดุล ความกลมกลืน และการใช้รูปแบบที่มีระเบียบเรียบร้อย เช่น ในศิลปะของกรีกและโรมัน โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ที่มีความงดงามตามธรรมชาติ ผลงานในยุคนี้มักสื่อถึงแนวคิดของมนุษย์และอุดมคติ เช่น ความดี ความงาม และความจริง -
509
โรมัน
เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล – ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมืองระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์ มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่
วันที่จูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ (44 ปีก่อนคริสตกาล) -
Period: 509 to 476
โรมัน
509 ปี ก่อน ค.ศ.- ค.ศ. 476 ทำสงครามขับไล่ชนชาติอีทรัสคันได้สำเร็จ- กรุงโรมแตกสลาย
โดยเผ่าเยอรมัน -
600
ยุคกลางสูง
สมัยกลาง หรือ ยุคกลางคือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (การสิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มต้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านในประวัติศาสตร์ตะวันตกคือ สมัยคลาสสิก สมัยกลาง และสมัยใหม่ นอกจากนี้สมัยกลางยังถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ ต้นสมัยกลาง , สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ -
Period: 600 to 620 BCE
ยุคกลางสูง
การเจริญเติบโตของเมืองและการค้า: การเพิ่มขึ้นของเมืองใหญ่และการค้าในยุโรป เช่น ลอนดอนและเวนิส
การก่อตั้งมหาวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเก่าแก่ เช่น มหาวิทยาลัยปารีสและมหาวิทยาลัยโบโลญญา
การสู้รบกับครูเสด: การเดินทางของกองทัพครูเสดไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตะวันออกกลาง
การพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรม: การก่อสร้างโบสถ์ในสไตล์โกธิค
การเติบโตของอำนาจของรัฐและศาสนา: การขยายอำนาจของกษัตริย์และพระสันตะปาปา
ยุคกลางสูงเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองอย่างเห็นได้ชัด. -
800
กรีก
อักษรฮีโรกลิฟิก กระดาษปาปิรัส
ปิระมีด ความเชื่อเรื่องวิญญาณอมตะ มัมมี่ ปกครองแบบเทวราชา อารยธรรมกรีกที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ประกอบด้วยอารยธรรมหลัก 2 ส่วน ได้แก่ อารยธรรมของชาวกรีก โบราณหรืออารยธรรมเฮลเลนิก (, ปี 750-336 ก่อนคริสต์ศักราช) และ อารยธรรมเฮลเลนิสติก ปี 336-31 ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กรีกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมาซิโดเนียละเป็นอารยธรรมที่ผสมผสานกับความเจริญที่รับจากดินแดนรอบๆ -
Period: 800 to 146
กรีก
800 ปี ก่อน ค.ศ. -146 ก่อน
ค.ศ. (เมื่อถูกโรมันยึดครอง) -
1000
สมัยก่อนปรศาสตร์
วัฒนธรรมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตามการพัฒนาทางเทคโนโลยี การเกษตร และการจัดระเบียบสังคม ซึ่งส่งผลให้เกิดอารยธรรมที่ซับซ้อนในยุคประวัติศาสตร์ต่อไป. -
1250
ยุคเรอเนซองร์
ยุคเรอเนซองส์ (ค.ศ. 1300 - 1600)เป็นช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสมัยกลางสู่สมัยใหม่และครอบคลุมศตวรรษที่ 15 และ 16 มีการแสดงลักษณะด้วยความพยายามที่จะฟื้นฟูและก้าวข้ามแนวคิดและความสำเร็จของสมัยคลาสสิก ได้เกิดขึ้นภายหลังจากวิกฤตการณ์จากสมัยกลางปลายและมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ นอกเหนือจากช่วงเวลาตามมาตรฐาน ผู้เสนอของ"เรอแนซ็องส์ระยะยาว" ซึ่งอาจจะเริ่มต้นในศตวรรษที่ 14 และสิ้นสุดลงในศตวรรษที่ 17 -
Period: 1250 to 1300
ยุคเนเซอรลอง
จุดเริ่มต้นของช่วงเวลา –สมัยเรอแนซ็องส์ช่วงต้นศตวรรษที่ 15 และอิตาลีในยุคก่อนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1250 หรือ ค.ศ. 1300 – มีการทับซ้อนกันอย่างมากกับสมัยกลางปลาย เป็นไปตามของช่วงเวลาของปี ค.ศ. 1250-1500 และสมัยกลางเองก็เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังเช่นสมัยปัจจุบัน และในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านระหว่างทั้งสองยุค สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยามีความคลึงกันอย่างใกล้ชิดทั้งสองยุค โดยเฉพาะสมัยปลายและช่วงเวลาย่อยของสมัยต้นในแต่ละช่วง -
1300
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) เป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ยุโรปที่เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300-1600
การเกิดขึ้นของความสนใจในศิลปะและวิทยาศาสตร์: การหวนคืนสู่แนวคิดและวิธีการของยุคคลาสสิก (กรีกและโรมัน) และการส่งเสริมการศึกษาและการสำรวจด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์
ศิลปะและสถาปัตยกรรม: การพัฒนาแนวคิดศิลปะใหม่ เช่น การใช้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบและเทคนิคการสร้างภาพลวงตา โดยศิลปินชื่อดังอย่างเลโอนาร์โด ดา วินชี มิเคลันเจโล และราฟาเอลการปฏิรูปศาสนา: -
Period: 1300 to
ยุคฟื้นฟูศิปวิทยา
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นช่วงเวลาที่สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในด้านศิลปะ, วรรณกรรม, วิทยาศาสตร์, และการเมือง ซึ่งช่วยปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญในยุคใหม่ของประวัติศาสตร์ยุโรป. -
1453
สมัยใหม่
กาลิเลโอ กาลิเลอี บิดา เเห่งวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ เป็นช่วงเวลาหนึ่งของอารยธรรมต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้ อารยธรรมนั้น ๆ จะเริ่มมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เริ่มมีแนวคิดที่ยึดหลักความจริง หลุดพ้นจากความเชื่องมงายหลายอย่างในอดีต นักวิชาการได้กำหนดช่วงเวลาที่เป็น "สมัยใหม่" ของสากลโลกไว้ให้เป็นช่วง ค.ศ. 1453-ค.ศ. 1945 โดยเริ่มนับจากการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์และสิ้นสุดลงหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ -
Period: 1453 to
สมัยใหม่
นับตั้งแต่สมัยกลางตอนปลายเป็นต้นมา ผู้คนเริ่มสงสัยในความเชื่อและเนื้อหาตำราเรียนแบบเก่า ๆ ที่เชื่อกันมายาวนาน และไม่นาน ความเชื่อเก่าๆ และอำนาจการปกครองที่เด็ดขาดของศาสนจักรเริ่มเสื่อมถอยลง ผู้คนเริ่มเชื่อว่ามนุษย์สามารถลิขิตชีวิตของตนได้ด้วยการกระทำของตนเอง จึงเริ่มดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า และมีการคิดค้นทฤษฎี สิ่งประดิษฐ์ รวมไปถึงศิลปะขึ้นมากมาย ทำให้เข้าสู่สมัยใหม่ในที่สุด -
1492
คริสโตเฟอร์ โคมลัมบัส
ค.ศ.1492-1945 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ค้นพบโลกใหม่และสิ้นสุดในปีสงครามโลกครั้งที่สอง ยุติ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ระหว่าง 25 สิงหาคม และ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1451 - 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1506) เป็นนักสำรวจและนักเดินเรือชาวอิตาลี ซึ่งได้เดินทางบนเรือครบสี่ครั้งทั่วทั้งมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ยุโรปได้สำรวจอย่างกว้างขวางและการก่อตั้งดินแดนอาณานิคมในทวีปอเมริกา การเดินทางของเขาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์แห่งสเปนที่นับถือนิกายคาทอลิก -
Period: 1492 to 476
คลิสโตรเฟอร์
ค.ศ.476-1492 การสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน ตะวันตก
จนถึงคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา
(หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออกถูกเตอร์เข้ายึดครองใน
ค.ศ.1453และต่อมาได้ตั้งเป็นจักรวรรดิออตโตมัน -
ยุคบาโรก
เป็นลักษณะดนตรียุโรปคลาสสิก ราว ค.ศ. 1600-1750[1] เกิดขึ้นหลังดนตรีสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และเกิดก่อนดนตรีสมัยคลาสสิก มีคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคือ โยฮัน เซบัสทีอัน บัค, อันโตนีโอ วีวัลดี, ฌ็อง-บาติสต์ ลูว์ลี, จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล, อาร์คันเจโล คอเรลลี, คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี, ฌ็อง-ฟีลิป ราโม, เฮนรี เพอร์เซล ในยุคนี้ผู้ประพันธ์เพลงและผู้แสดงจะใช้องค์ประกอบทางด้านดนตรีที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องระบบเสียงและได้พัฒนาการเล่นเครื่องดนตรีแบบใหม่ -
Period: to
ยุคบาโรก
ในสมัยบารอก เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรีหรือเสียงร้องเล่นประชันกัน เช่น เสียงร้องประชันกับเครื่องดนตรี หรือการเดี่ยวประชันเครื่องดนตรีบ้าง ซึ่งเรียกกันว่า Stile Concertante มีการใช้ บัสโซกอนตีนูโว (Basso Continuo) คือการที่เสียงเบส (เสียงต่ำ) เคลื่อนที่ตลอดเวลา โดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวเลขบอกถึงการเคลื่อนที่ไปของเบส รวมถึงเสียงแนวอื่น ๆ ด้วย ทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นบาสโซคอนตินิวโออาจเป็นคีย์บอร์ด เช่น ออร์แกน ฮาร์ปซิคอร์ด หรือเป็นกลุ่มของเครื่องดนตรี -
ยุคอุสาหกกรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (อังกฤษ: Industrial Revolution) คือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1825 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม การผลิต การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยายไปยังยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น จนขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมา -
Period: to
ยุคอุสาหกรรม
ยุคอุตสาหกรรมเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงพื้นฐานของสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง, และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ของประวัติศาสตร์. -
ยุคระหว่างสงคราม
ยุคระหว่างสงคราม (Interwar Period) คือช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ปี 1918 ถึง 1939 ยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่สำคัญ รวมถึงการเกิดของอำนาจเผด็จการในหลายประเทศ การประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 1929 และการเติบโตของแนวคิดชาตินิยมและฟาสซิสต์ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่มีความก้าวหน้าในศิลปะและวรรณกรรม เช่น สมัยโมเดิร์นและการทดลองในศิลปะ. -
Period: to
ยุคระหว่าสงคราม
ในด้านการเมือง สมัยนี้เปิดฉากขึ้นพร้อมด้วยความเจริญของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งประเดิมด้วยการปฏิวัติเดือนตุลาคมและสงครามกลางเมืองรัสเซีย ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสิ้นสุดลงด้วยความเจริญของลัทธิฟาสซิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเยอรมนีและอิตาลี จีนนั้นอยู่ท่ามกลางช่วงเวลาความไร้เสถียรภาพอันยาวนานและสงครามกลางเมืองระหว่างก๊กมินตั๋ง (จีนคณะชาติ) และพรรคคอมมิวนิสต์จีน; จักรวรรดิบริติช ฝรั่งเศส และอื่น ๆ -
สงครามโลกครั้งที่2
สงครามโลกครั้งที่สอง World War II หรือ Second World War[a]) เป็นสงครามทั่วโลกที่กินเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1939 ถึง 1945 ประเทศส่วนใหญ่ในโลกมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐมหาอำนาจทั้งหมด แบ่งเป็นพันธมิตรทางทหารคู่สงครามสองฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ เป็นสงครามที่กว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทหารกว่า 100 ล้านนายจากกว่า 30 ประเทศเข้าร่วมโดยตรง สงครามนี้มีลักษณะเป็น "สงครามเบ็ดเสร็จ" -
Period: to
สงครามโลกครั้งที่2
สงคราม โดยลบเส้นแบ่งระหว่างทรัพยากรของพลเรือนและทหาร ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 50 ถึง 85 ล้านคน ด้วยประการทั้งปวง สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด[4] และมีผู้เสียชีวิตสูงสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ[5] -
สมัยปัจจุบัน
ค.ศ.1945(หลังสงครามโลกครั้งที่สอง)-ปัจจุบัน -
สมัยปัจจุบัน
สมัยปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของอารยธรรมหนึ่ง ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่แต่ละอารยธรรมจะมีเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย และมีการตระหนักถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกวิธี
นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดช่วงเวลาที่เป็น "สมัยปัจจุบัน" ของสากลโลกไว้ให้ตรงกับ ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบันนี้ โดยเริ่มนับจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นต้นมา -
ยุคสงครามครั้งที่1
เป็นสงครามโลกที่กินเวลาตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันระหว่างสองขั้วมหาอำนาจพันธมิตร ได้แก่ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง โดยการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายดำเนินขึ้นในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา แปซิฟิก และพื้นที่บางส่วนของทวีปเอเชีย เป็นหนึ่งในสงครามที่มีความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยจำนวนทหารที่เสียชีวิต 9 ล้านนาย และบาดเจ็บ 23 ล้านนาย รวมทั้งพลเรือนที่เสียชีวิตจากสาเหตุอื่นอีก -
Period: to
สงครามโลกครั้งที่1
28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 – 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 (4 ปี 3 เดือน และ 2 สัปดาห์) สถานที่
ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง หมู่เกาะแปซิฟิก จีน มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือและตอนใต้ -
สําริด
ยุคสัมฤทธิ์ หรือสะกดว่า สำริด เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งที่มนุษย์รู้จักใช้โลหะสัมฤทธิ์ ในบางพื้นที่ได้เข้าสู่ช่วงก่อนมีตัวอักษร และบางพื้นที่อารยธรรมเมืองได้เริ่มก่อร่างขึ้น ยุคสัมฤทธิ์เป็นยุคที่สองในระบบสามยุคหินสัมฤทธิ์-เหล็ก ซึ่งเสนอโดยสำหรับจำแนกและศึกษาสังคมยุคโบราณ ยุคสัมฤทธิ์โดยทั่วไปเกิดขึ้นหลังยุคหินใหม่ โดยมียุคทองแดงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน
สัมฤทธิ์เป็นโลหะที่เกิดจากทองแดงหลอมกับดีบุก ตะกั่วหรือโลหะอื่น สังคมในยุคดังกล่าวอาจผลิตโดยการหล่อโลหะขึ้นเองหรือค้าขายเแลก -
Period: to 656
ยุคสําริด
สัมฤทธิ์มีความแข็งและทนทานกว่าโลหะอื่นที่มีอยู่ในเวลานั้น ทำให้อารยธรรมที่รู้จักใช้สัมฤทธิ์มีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยี ส่วนเหล็ก แม้ว่าจะมีอยู่มากในธรรมชาติ แต่ด้วยจุดหลอมเหลวที่สูงทำให้ไม่มีใช้กันแพร่หลายจนปลายสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ส่วนเตาเผาภาชนะดินเผาซึ่งมีอายุถึง 6,000 ปีก่อนคริสตกาลสามารถผลิตความร้อนเพื่อหลอมดีบุกกับทองแดงได้แล้ว
วัฒนธรรมยุคสัมฤทธิ์แตกต่างกันในการพัฒนาการเขียนขึ้นครั้งแรก -
อียิปต์
ประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณจำแนกตามยุคอาณาจักรที่มั่นคง หรือที่รู้จักกันในยุค "ราชอาณาจักรโดยมักแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง และยุคที่ไม่มีความแน่นอนที่เรียกว่า "ช่วงต่อ"ยุคที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ราชอาณาจักรเก่า ในช่วงต้นยุคสัมฤทธิ์, ราชอาณาจักรกลาง ในช่วงกลางยุคสัมฤทธิ์ และ ราชอาณาจักรใหม่ ในช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ ซึ่งในยุคราชอาณาจักรใหม่นี่เองที่อารยธรรมอียิปต์โบราณถึงจุดสูงสุด โดยได้ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของนูเบียและส่วนหนึ่งของตะวันออกใกล้ ก่อนที่จะถดถอยไปอย่างช้า ๆ -
Period: to 1070 BCE
อียิปต์
อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มต้นขึ้นประมาณ 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ค.ศ. 3100) เมื่อพระเจ้าเมนส์รวมอียิปต์บนและล่างเข้าเป็นอาณาจักรเดียว ช่วงเวลาที่สำคัญรวมถึงยุคพีระมิดในค.ศ. 2580-2560 (ยุคที่พีระมิดแห่งกิซ่าได้รับการสร้างขึ้น) และอาณาจักรใหม่ในค.ศ. 1550-1070 ซึ่งมีความรุ่งเรืองด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์. -
เมโสโปเตเมีย
เมโสโปเตเมียมีการตั้งถิ่นฐานสำคัญตั้งแต่ประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ก่อนค.ศ.) จนถึงการล่มสลาย
ของอารยธรรมต่างๆ ในช่วงประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ก่อนค.ศ.) และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงยุคคลาสสิก. -
อารยธรรมเมโสโปรเตเมีย
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
-เป็นดินแดนที่อยู่ลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทิส
-ประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม
-การสร้างซิกกูแรตใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
-รู้จักขุดคลองระบายน้ำ
-พวกอะมอไรต์ได้ตั้งจักรวรรดิบาบิโลนเนียนและจัดทำประมวลกฎหมาย "ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี" บทลงโทษแบบ รุนแรง -
Period: to 500 BCE
เมโสโปรเตเมีย
เมโสโปเตเมียเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ระหว่างแม่น้ำทีเกรสและยูเฟรตีสในตะวันออกกลาง โดยมีการพัฒนาของอารยธรรมตั้งแต่ประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ค.ศ. 3500) ช่วงเวลาที่สำคัญรวมถึงการก่อตั้งนครรัฐซูเมอร์ในค.ศ. 3000, อาณาจักรบาบิโลนในค.ศ. 1894, และอาณาจักรอัสซีเรียในค.ศ. 900 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวรรณกรรม กฎหมาย และวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์โลก. -
Period: to
อารยธรรมเมโสโปรเตเมีย
อารยธรรมเมโสโปเตรเมียเริ่มต้นประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ก่อน ค.ศ. 3500) โดยมีการพัฒนาทางการเกษตรและการสร้างเมืองขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอารยธรรมโบราณที่สำคัญ. -
ยุคหินใหม่
หลักฐานก่อนยุคประวัติศาสตร์ ประมาณ 4,00 ปีมาก่อน ค.ศ.
เรียกว่าปฏิวัติยุคหินใหม่
- อนุสาวรีย์หินตั้ง (สโตนเฮนจ์) เป็นสถาปัตยกรรม ทางศาสนา ใช้ประกอบพิธีกรรม บูชาดวงอาทิตย์
- การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
- ตั้งถิ่นฐานเป็นการถาวร
- รูปแบบการปกครอง แลกเปลี่ยนสินค้า
- เครื่องปั้นดินเผา จักสาน ทอผ้า เครื่องมือหินขัด -
Period: to
ยุคหินใหม่
หินใหม่ เป็นยุคทางโบราณคดี ถือเป็นส่วนสุดท้ายของยุคหิน ในยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ลักษณะที่เกิดขึ้นในยุคหินใหม่ได้แก่การเริ่มต้นทำเกษตรกรรม, การทำปศุสัตว์ และการเปลี่ยนผ่านจากวิถีชีวิตแบบล่าและเก็บของป่า มาสู่การตั้งถิ่นฐาน คำว่า 'Neolithic' ประดิษฐ์ขึ้นโดยเซอร์จอห์น ลับบัก เมื่อปี 1865 เพื่อสรุประบบสามยุค[1] ยุคหินใหม่เริ่มต้นเมื่อราว 12,000 ปีก่อน ในช่วงที่การทำเกษตรกรรมเริ่มมีขึ้นในตะวันออกใกล้ตามด้วยพื้นที่อื่นของโลกในภายหลัง -
ยุคโลหะ
ทองเเดง สําริด เหล็ก โดยทั่วไปเริ่มเมื่อ 3,000 ปี มาแล้วทำอาวุธด้วยทองแดง สิ่งของ เครื่องประดับ แต่ยังมีเครื่องมือหินใช้อยู่
สำริด นำทองแดงผสมกับดีบุก เรียกว่าสำริด เพื่อทำเครื่องใช้และภาชนะ
เหล็ก
รู้จักวิธีการถลุงเหล็กใช้เหล็กทำอาวุธ และเครื่องมือต่าง -
Period: to
ยุคโลหะ
ยุคโลหะ เป็นยุคที่อยู่ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5,000 − 900 ปีก่อนพุทธศักราช ยุคที่มนุษย์รู้จักนำเอาแร่โลหะมาจากธรรมชาตินำมาใช้เพื่อประโยชน เชน ทองแดง สำริด และเหล็ก นำมาหล่อหรือขึ้นเป็นมีด หอก และดาบ เพื่อใชในการล่าสัตว์ หรือมาประกอบเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับ มนุษย์สมัยนี้พัฒนาการเป็นอยู่อาศัยและการเกษตรกรรมให้ดียิ่งขึ้น เช่น การสร้างบ้านใหใต้ถุนบ้านสูงมีความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยยุคโลหะ แบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อยคือ ยุคทองแดงปนหิน ยุคสำริด และยุคเหล็ก