-
6000 BCE
การปลูกพืชผล
ข้าวบาร์เลย์ (barley) และข้าวสาลี (wheat) เป็นพืชหลักที่ปลูกในพื้นที่นี้ เนื่องจากความสามารถในการเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำต่ำ
เช่น ผัก และผลไม้ เช่น หัวหอม และวันที่ (dates) ก็เป็นส่วนสำคัญของการเกษตรในเมโสโปเตเมีย -
6000 BCE
พืชผัก
ข้าวบาร์เลย์เป็นพืชหลักที่ปลูกในเมโสโปเตเมีย เนื่องจากทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและสภาวะน้ำไม่สม่ำเสมอ เป็นอาหารหลัก
ข้าวสาลีก็เป็นพืชสำคัญในการเกษตรของเมโสโปเตเมีย แม้ว่าจะมีความต้องการน้ำมากกว่าข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลีถูกใช้ในการทำขนมปังและผลิตภัณฑ์อื่นๆพืชผลที่มีความสำคัญสูงในเมโสโปเตเมีย วันที่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีการใช้เป็นแหล่งอาหารหลัก
ผักและผลไม้:ผักที่ปลูกรวมถึงหัวหอม กระเทียม และผักชี
ผลไม้ที่ปลูกมีส้มแอปเปิ้ลและแอพริคอท
ถั่วและเมล็ดพืชถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วชิกพี -
6000 BCE
การเกษตรในยุคเมโสโปเตเมีย
แรงงานเกษตร: ชาวนาและแรงงานที่ทำงานในพื้นที่เกษตรมีบทบาทสำคัญในการปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผล การทำงานเกี่ยวกับการชลประทานและการจัดการแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกษตร
ทาสและแรงงาน: ทาสและแรงงานที่จ้างมักถูกใช้ในการทำงานหนัก เช่น การขุดคูน้ำ การสร้างระบบชลประทาน และการทำงานในฟาร์ม -
Period: 6000 BCE to
พืชผัก
ข้าวบาร์เลย์เป็นพืชหลักที่ปลูกในเมโสโปเตเมีย เนื่องจากทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและสภาวะน้ำไม่สม่ำเสมอ เป็นอาหารหลัก
ข้าวสาลีก็เป็นพืชสำคัญในการเกษตรของเมโสโปเตเมีย แม้ว่าจะมีความต้องการน้ำมากกว่าข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลีถูกใช้ในการทำขนมปังและผลิตภัณฑ์อื่นๆพืชผลที่มีความสำคัญสูงในเมโสโปเตเมีย วันที่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีการใช้เป็นแหล่งอาหารหลัก
ผักและผลไม้:ผักที่ปลูกรวมถึงหัวหอม กระเทียม และผักชี
ผลไม้ที่ปลูกมีส้มแอปเปิ้ลและแอพริคอท
ถั่วและเมล็ดพืชถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วชิกพี -
Period: 6000 BCE to
การปลูกพืชผล
ข้าวบาร์เลย์ (barley) และข้าวสาลี (wheat) เป็นพืชหลักที่ปลูกในพื้นที่นี้ เนื่องจากความสามารถในการเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำต่ำ
เช่น ผัก และผลไม้ เช่น หัวหอม และวันที่ (dates) ก็เป็นส่วนสำคัญของการเกษตรในเมโสโปเตเมีย -
Period: 6000 BCE to
การเกษตรในยุคเมโสโปเตเมีย
แรงงานเกษตร: ชาวนาและแรงงานที่ทำงานในพื้นที่เกษตรมีบทบาทสำคัญในการปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผล การทำงานเกี่ยวกับการชลประทานและการจัดการแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกษตร
ทาสและแรงงาน: ทาสและแรงงานที่จ้างมักถูกใช้ในการทำงานหนัก เช่น การขุดคูน้ำ การสร้างระบบชลประทาน และการทำงานในฟาร์ม -
5300 BCE
การเกษตร
อารยธรรมนี้อาศัยระบบการเกษตรที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสินธุในการเพาะปลูกพืชเช่น ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์ และผักต่างๆ. -
5300 BCE
ศาสนาและวัฒนธรรม
พบสัญลักษณ์ทางศาสนาเช่น ต้นปาล์ม และรูปปั้นเทพเจ้า ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม. -
5300 BCE
การพัฒนาอย่างเป็นระเบียบ
อารยธรรมนี้มีการพัฒนาในด้านวิศวกรรมและการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ เมืองใหญ่ที่พบ เช่น ฮารัปปาและโมเฮนโจ-ดาโร มีการวางผังเมืองอย่างมีระเบียบ และมีระบบท่อระบายน้ำที่ก้าวหน้า -
Period: 5300 BCE to
การเกษตร
อารยธรรมนี้อาศัยระบบการเกษตรที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสินธุในการเพาะปลูกพืชเช่น ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์ และผักต่างๆ. -
Period: 5300 BCE to
ศาสนาและวัฒนธรรม
พบสัญลักษณ์ทางศาสนาเช่น ต้นปาล์ม และรูปปั้นเทพเจ้า ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม. -
Period: 5300 BCE to
การพัฒนาอย่างเป็นระเบียบ
อารยธรรมนี้มีการพัฒนาในด้านวิศวกรรมและการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ เมืองใหญ่ที่พบ เช่น ฮารัปปาและโมเฮนโจ-ดาโร มีการวางผังเมืองอย่างมีระเบียบ และมีระบบท่อระบายน้ำที่ก้าวหน้า -
4600 BCE
การเขียน
พบการใช้สัญลักษณ์และอักษรที่ยังไม่ได้ถอดรหัส ทำให้ไม่สามารถเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับภาษาหรือความคิดของพวกเขาได้ทั้งหมด. -
Period: 4600 BCE to
การเขียน
พบการใช้สัญลักษณ์และอักษรที่ยังไม่ได้ถอดรหัส ทำให้ไม่สามารถเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับภาษาหรือความคิดของพวกเขาได้ทั้งหมด. -
4500 BCE
ซูเมเรียน
ชาวซูเมเรียนเป็นกลุ่มชนที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ชาวซูเมเรียนสร้างเมืองแรก ๆ เช่น อูรูค (Uruk) และอูร์ (Ur) และพัฒนาระบบการเขียนคูเนฟอร์ม (cuneiform) ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลและการบริหาร -
Period: 4500 BCE to 2000 BCE
ซูเมเรียน
ชาวซูเมเรียนเป็นกลุ่มชนที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ชาวซูเมเรียนสร้างเมืองแรก ๆ เช่น อูรูค (Uruk) และอูร์ (Ur) และพัฒนาระบบการเขียนคูเนฟอร์ม (cuneiform) ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลและการบริหาร -
4000 BCE
การผลิตงานฝีมือ
การผลิตสิ่งของเช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับ และเครื่องมือโลหะเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจ มีช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าต่าง ๆ
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกใช้ในชีวิตประจำวันและมีการค้าขายทั้งในตลาดท้องถิ่นและระหว่างเมือง -
4000 BCE
(การตั้งถิ่นฐาน
การตั้งถิ่นฐาน: เมโสโปเตเมียมีการพัฒนาชุมชนเมืองที่สำคัญ เช่น อูรูค (Uruk) และอูร์ (Ur) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีการจัดการแบบรวมศูนย์และมีความซับซ้อนในสังคมและเศรษฐกิจ -
Period: 4000 BCE to 2000 BCE
การตั้งถิ่นฐาน
การตั้งถิ่นฐาน: เมโสโปเตเมียมีการพัฒนาชุมชนเมืองที่สำคัญ เช่น อูรูค (Uruk) และอูร์ (Ur) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีการจัดการแบบรวมศูนย์และมีความซับซ้อนในสังคมและเศรษฐกิจ -
Period: 4000 BCE to
การผลิตงานฝีมือ
การผลิตสิ่งของเช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับ และเครื่องมือโลหะเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจ มีช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าต่าง ๆ
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกใช้ในชีวิตประจำวันและมีการค้าขายทั้งในตลาดท้องถิ่นและระหว่างเมือง -
3600 BCE
การเมืองและสังคม
อารยธรรมไมซีนีมีการจัดระเบียบทางการเมืองที่มีลักษณะเป็นเมืองรัฐ (city-states) หรือ "พัลลาซ" (palaces) ซึ่งแต่ละเมืองรัฐมีการปกครองโดยกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุด เช่น เมืองไมซีนี (Mycenae), ทีรีนส์ (Tiryns), และพิโลซ (Pylos) กษัตริย์เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารและการสงคราม -
3600 BCE
อารยธรรมไมซีนีในกรีซ
ประมาณ 1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาที่เริ่มต้นของ อารยธรรมไมซีนี (Mycenaean Civilization) ในกรีซ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของยุโรปโบราณ อารยธรรมไมซีนีเป็นช่วงเวลาแห่งการเจริญรุ่งเรืองหลังจากการล่มสลายของอารยธรรมมิโนอัน (Minoan Civilization) ที่เกาะครีต -
Period: 3600 BCE to 1200 BCE
การเมืองและสังคม
อารยธรรมไมซีนีมีการจัดระเบียบทางการเมืองที่มีลักษณะเป็นเมืองรัฐ (city-states) หรือ "พัลลาซ" (palaces) ซึ่งแต่ละเมืองรัฐมีการปกครองโดยกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุด เช่น เมืองไมซีนี (Mycenae), ทีรีนส์ (Tiryns), และพิโลซ (Pylos) กษัตริย์เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารและการสงคราม -
Period: 3600 BCE to 1200 BCE
อารยธรรมไมซีนี
ประมาณ 1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาที่เริ่มต้นของ อารยธรรมไมซีนี (Mycenaean Civilization) ในกรีซ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของยุโรปโบราณ อารยธรรมไมซีนีเป็นช่วงเวลาแห่งการเจริญรุ่งเรืองหลังจากการล่มสลายของอารยธรรมมิโนอัน (Minoan Civilization) ที่เกาะครีต -
3500 BCE
เมโสโปเตเมียเกิดขึ้นในปีค.ศ
อารยธรรมเมโสโปเตเมียเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 3500–3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงเวลานี้ อารยธรรมเมโสโปเตเมียเริ่มมีการพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็นหลายช่วง -
3500 BCE
ศาสนา
ศาสนาและวรรณกรรม: ศาสนาในเมโสโปเตเมียมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและมีการสร้างวรรณกรรมทางศาสนาที่สำคัญ เช่น "เอปิคแห่งกิลกาเมช" ที่สะท้อนถึงความเชื่อและประสบการณ์ของผู้คนในยุคนั้น -
3500 BCE
นักบวชและผู้บริหารเมือง
ในช่วงต้นของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย นักบวชและผู้บริหารเมืองมีบทบาทสำคัญในการจัดการและพัฒนาสังคม เมืองใหญ่หลายเมืองถูกบริหารโดยนักบวชหรือผู้นำที่มีอำนาจ -
Period: 3500 BCE to 539 BCE
เมโสโปเตเมียเกิดขึ้นในปีค.ศ
อารยธรรมเมโสโปเตเมียเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 3500–3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงเวลานี้ อารยธรรมเมโสโปเตเมียเริ่มมีการพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็นหลายช่วง -
Period: 3500 BCE to 1200 BCE
ศาสนา
ศาสนาและวรรณกรรม: ศาสนาในเมโสโปเตเมียมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและมีการสร้างวรรณกรรมทางศาสนาที่สำคัญ เช่น "เอปิคแห่งกิลกาเมช" ที่สะท้อนถึงความเชื่อและประสบการณ์ของผู้คนในยุคนั้น -
Period: 3500 BCE to 539 BCE
นักบวชและผู้บริหารเมือง
ในช่วงต้นของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย นักบวชและผู้บริหารเมืองมีบทบาทสำคัญในการจัดการและพัฒนาสังคม เมืองใหญ่หลายเมืองถูกบริหารโดยนักบวชหรือผู้นำที่มีอำนาจ -
Period: 3500 BCE to 2000 BCE
ยุคการสร้างเมือง
เริ่มมีการก่อตั้งเมืองใหญ่ เช่น อูรูค (Uruk) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมสำคัญ
การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและการชลประทานช่วยให้สามารถสร้างการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่แห้งแล้ง -
3400 BCE
เศรษฐกิจและการค้า
อารยธรรมไมซีนีมีการค้าและแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมอื่นๆ เช่น อียิปต์และเมโสโปเตเมีย และการค้าสินค้าเช่น โลหะ, เครื่องปั้นดินเผา, และเครื่องประดับ -
3400 BCE
การประดิษฐ์ลายลักณ์อักษร
การเขียนและระบบการเขียน: การประดิษฐ์ลายอักษรคูเนฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งเป็นระบบการเขียนที่ใช้บันทึกข้อมูลทางการค้า กฎหมาย และวรรณกรรม ถือเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่สำคัญ -
3400 BCE
การเขียน
ระบบการเขียนของไมซีนีคือ Linear B ซึ่งเป็นระบบอักษรที่ใช้ในการบันทึกเอกสารและบัญชี การค้นพบแผ่นจารึก Linear B ที่เมืองพิโลซและที่อื่นๆ แสดงให้เห็นถึงการจัดการเศรษฐกิจและการบริหารของอารยธรรมนี้ -
3400 BCE
วรรณกรรมและความเชื่อ
อารยธรรมไมซีนีมีวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับตำนานและเทพเจ้ากรีกซึ่งมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมกรีกในภายหลัง เช่น เรื่องเล่าของเฮอคิวลิส (Heracles) และเทพเจ้าโอลิมเปียน -
Period: 3400 BCE to
การประดิษฐ์ลายลักณ์อักษร
การเขียนและระบบการเขียน: การประดิษฐ์ลายอักษรคูเนฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งเป็นระบบการเขียนที่ใช้บันทึกข้อมูลทางการค้า กฎหมาย และวรรณกรรม ถือเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่สำคัญ -
Period: 3400 BCE to
เศรษฐกิจและการค้า
อารยธรรมไมซีนีมีการค้าและแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมอื่นๆ เช่น อียิปต์และเมโสโปเตเมีย และการค้าสินค้าเช่น โลหะ, เครื่องปั้นดินเผา, และเครื่องประดับ -
Period: 3400 BCE to
วรรณกรรมและความเชื่อ
อารยธรรมไมซีนีมีวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับตำนานและเทพเจ้ากรีกซึ่งมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมกรีกในภายหลัง เช่น เรื่องเล่าของเฮอคิวลิส (Heracles) และเทพเจ้าโอลิมเปียน -
Period: 3400 BCE to 2024 BCE
การเขียน
ระบบการเขียนของไมซีนีคือ Linear B ซึ่งเป็นระบบอักษรที่ใช้ในการบันทึกเอกสารและบัญชี การค้นพบแผ่นจารึก Linear B ที่เมืองพิโลซและที่อื่นๆ แสดงให้เห็นถึงการจัดการเศรษฐกิจและการบริหารของอารยธรรมนี้ -
3300 BCE
การรวมกลุ่มของสังคม
การพัฒนาอารยธรรมนี้เป็นผลมาจากการรวมกลุ่มของสังคมและวัฒนธรรมที่มีการแลกเปลี่ยนและพัฒนาความรู้ร่วมกัน ไม่ใช่ผลมาจากบุคคลหนึ่ง -
Period: 3300 BCE to
การรวมกลุ่มของสังคม
การพัฒนาอารยธรรมนี้เป็นผลมาจากการรวมกลุ่มของสังคมและวัฒนธรรมที่มีการแลกเปลี่ยนและพัฒนาความรู้ร่วมกัน ไม่ใช่ผลมาจากบุคคลหนึ่ง -
3100 BCE
ผู้ก่อตั้งอียิปต์
ฟาโรห์เมนส (Menes): หรือที่เรียกว่าฟาโรห์นาร์เมอร์ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการรวมแคว้น และแคว้นล่าง เข้าเป็นอาณาจักรเดียว ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปกครองในรูปแบบของอียิปต์โบราณประมาณ 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช ฟาโรห์เจเซอร์ (Djoser): ปกครองในสมัยราชวงศ์ที่ 3 (ประมาณ 2670–2640 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ฟาโรห์สนอฟรู (Snefru): ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 (ประมาณ 2613–2589 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ฟาโรห์คูฟู (Khufu): ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 (ประมาณ 2589–2566 ปีก่อนคริสต์ศักราช) -
3000 BCE
ยุคการสร้างเมือง
เริ่มมีการก่อตั้งเมืองใหญ่ เช่น อูรูค (Uruk) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมสำคัญ
การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและการชลประทานช่วยให้สามารถสร้างการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่แห้งแล้ง -
3000 BCE
การบริหารจัดการทรัพยากร
การจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการเกษตร การบริหารจัดการที่ดีช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง
การวางแผนและการใช้เทคโนโลยีการชลประทานทำให้สามารถปรับตัวต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ -
3000 BCE
การก่อสร้าง
การสร้างเมืองและสิ่งก่อสร้าง: การก่อสร้างเมืองใหญ่และสิ่งก่อสร้างสำคัญ เช่น วัดหรือวัง จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงช่างฝีมือ ทาส และแรงงานทั่วไป
การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน: แรงงานถูกใช้ในการสร้างคูน้ำ คันดิน และโครงสร้างอื่น ๆ ที่สนับสนุนการพัฒนาเมืองและการเกษตร -
3000 BCE
ชลประทาน
การพัฒนาเทคโนโลยีการชลประทานเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การเกษตรในเมโสโปเตเมียเจริญรุ่งเรือง ระบบชลประทานรวมถึงการสร้างคูน้ำ (canals) และคันดิน (dikes) ที่ช่วยควบคุมการไหลของน้ำจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสไปยังพื้นที่เกษตร
การสร้างระบบชลประทานช่วยให้พื้นที่ที่แห้งแล้งและน้ำท่วมเฉพาะช่วงสามารถใช้เป็นพื้นที่เกษตรได้ตลอดทั้งปี -
3000 BCE
เศรษฐกิจและการค้าขาย
การเกษตรที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาชุมชนเมืองและการค้าขาย
ข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลีถูกนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายในตลาดภายในและภายนอกอาณาจักร -
3000 BCE
การแลกเปลี่ยนยุคเมโสโปเตเมีย
เมโสโปเตเมียมีระบบการค้าและการแลกเปลี่ยนที่ซับซ้อน การค้าเป็นสิ่งสำคัญในการแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งในและนอกอาณาจักร เช่น การค้าผลิตภัณฑ์เกษตร สิ่งทอ และเครื่องปั้นดินเผา
เมืองใหญ่ เช่น อูรูค (Uruk) และบาบิโลน (Babylon) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญ -
3000 BCE
การทำงานฝีมือ
ผู้ค้าและช่างฝีมือ: เมืองใหญ่ในเมโสโปเตเมียมีการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิต มีช่างฝีมือ เช่น ช่างทำเครื่องปั้นดินเผา ช่างเหล็ก และช่างทอง ซึ่งทำงานในพื้นที่เมือง
งานบริการและการบริหาร: แรงงานยังมีบทบาทในการให้บริการต่าง ๆ และในด้านการบริหารจัดการของรัฐและเมือง -
3000 BCE
ทาส
การใช้ทาส: ทาสในเมโสโปเตเมียมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมเศรษฐกิจและการก่อสร้าง พวกเขาถูกใช้ทำงานในฟาร์มและในบ้านของชนชั้นสูง -
3000 BCE
ชลประทานการเกษตร
การเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจเมโสโปเตเมีย ข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลีเป็นพืชหลักที่ปลูก ระบบชลประทานช่วยให้สามารถจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พื้นที่แห้งแล้งสามารถใช้ในการเกษตรได้ -
3000 BCE
การใช้บัญชี
การใช้เหรียญและระบบการบัญชีเป็นการพัฒนาที่สำคัญ ระบบการเขียนคูเนฟอร์ม (cuneiform) ถูกใช้ในการบันทึกธุรกรรมทางการค้าและการบริหารจัดการทรัพย์สิน
ระบบการแลกเปลี่ยนเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจ เช่น การใช้เครื่องหมายหรือแท่งโลหะเพื่อการแลกเปลี่ยน -
3000 BCE
การใช้แรงงาน
การใช้แรงงานในการเกษตร การก่อสร้าง และการผลิตเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ แรงงานรวมถึงทาสและแรงงานที่จ้างมาช่วยในการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจ -
3000 BCE
ยุคสมัยการก่อตั้ง
การก่อตั้งอารยธรรมเมโสโปเตเมียไม่สามารถระบุได้ว่ามีผู้ก่อตั้งคนเดียว เพราะมันเกิดขึ้นเป็นกระบวนการที่พัฒนาขึ้นจากหลายปัจจัยและหลายช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ แต่สามารถพูดถึงบุคคลสำคัญและกลุ่มที่มีบทบาทในการพัฒนาอารยธรรมเมโสโปเตเมียอารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นผลจากการพัฒนาทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่ามีผู้ก่อตั้งคนเดียว แต่เป็นการร่วมมือของหลายกลุ่มและบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานั้น -
3000 BCE
การใช้แรงงาน
การเกษตรในเมโสโปเตเมียใช้แรงงานจำนวนมากและมีการจัดการที่เป็นระบบ แรงงานส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวนาและทาสที่ทำงานในพื้นที่เกษตร
การจัดการแรงงานและการจัดแบ่งพื้นที่เกษตรเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ -
3000 BCE
การเกษตร
การเกษตรและการชลประทาน: การพัฒนาเทคนิคการชลประทานช่วยให้การเกษตรในพื้นที่ที่แห้งแล้งเป็นไปได้ การสร้างคูน้ำและระบบชลประทานช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและสนับสนุนการเจริญเติบโตของเมืองการเกษตรในยุคเมโสโปเตเมียเป็นการพัฒนาที่มีความซับซ้อนและมีความสำคัญต่อการเติบโตของอารยธรรมนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในยุคนั้น -
3000 BCE
เมโสโปเตเมีย
การเริ่มต้นของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสในภูมิภาคที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอิรักและซีเรีย เริ่มต้นประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช อารยธรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกของโลกและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของมนุษยชาติหลายด้าน -
Period: 3000 BCE to 539
นักบวชและผู้บริหารเมือง
ในช่วงต้นของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย นักบวชและผู้บริหารเมืองมีบทบาทสำคัญในการจัดการและพัฒนาสังคม เมืองใหญ่หลายเมืองถูกบริหารโดยนักบวชหรือผู้นำที่มีอำนาจ -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
เมโสโปเตเมีย
การเริ่มต้นของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสในภูมิภาคที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอิรักและซีเรีย เริ่มต้นประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช อารยธรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกของโลกและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของมนุษยชาติหลายด้าน -
Period: 3000 BCE to
การเกษตร
การเกษตรและการชลประทาน: การพัฒนาเทคนิคการชลประทานช่วยให้การเกษตรในพื้นที่ที่แห้งแล้งเป็นไปได้ การสร้างคูน้ำและระบบชลประทานช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและสนับสนุนการเจริญเติบโตของเมืองการเกษตรในยุคเมโสโปเตเมียเป็นการพัฒนาที่มีความซับซ้อนและมีความสำคัญต่อการเติบโตของอารยธรรมนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในยุคนั้น -
Period: 3000 BCE to 1200 BCE
การล่มสลาย
อารยธรรมไมซีนีเริ่มเสื่อมโทรมลงประมาณ 1200 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีสาเหตุจากความไม่สงบทางการเมือง การโจมตีของชนเผ่าต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้เกิดการล่มสลายและช่วงเวลาที่รู้จักในชื่อ "ยุคมืด" (Dark Ages) ในกรีซ -
Period: 3000 BCE to 5000 BCE
ยุคการสร้างเมือง
เริ่มมีการก่อตั้งเมืองใหญ่ เช่น อูรูค (Uruk) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมสำคัญ
การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและการชลประทานช่วยให้สามารถสร้างการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่แห้งแล้ง -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
การใช้แรงงาน
การเกษตรในเมโสโปเตเมียใช้แรงงานจำนวนมากและมีการจัดการที่เป็นระบบ แรงงานส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวนาและทาสที่ทำงานในพื้นที่เกษตร
การจัดการแรงงานและการจัดแบ่งพื้นที่เกษตรเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
การบริหารจัดการทรัพยากร
การจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการเกษตร การบริหารจัดการที่ดีช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง
การวางแผนและการใช้เทคโนโลยีการชลประทานทำให้สามารถปรับตัวต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
การแลกเปลี่ยนยุคเมโสโปเตเมีย
เมโสโปเตเมียมีระบบการค้าและการแลกเปลี่ยนที่ซับซ้อน การค้าเป็นสิ่งสำคัญในการแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งในและนอกอาณาจักร เช่น การค้าผลิตภัณฑ์เกษตร สิ่งทอ และเครื่องปั้นดินเผา
เมืองใหญ่ เช่น อูรูค (Uruk) และบาบิโลน (Babylon) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญ -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
การก่อสร้าง
การสร้างเมืองและสิ่งก่อสร้าง: การก่อสร้างเมืองใหญ่และสิ่งก่อสร้างสำคัญ เช่น วัดหรือวัง จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงช่างฝีมือ ทาส และแรงงานทั่วไป
การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน: แรงงานถูกใช้ในการสร้างคูน้ำ คันดิน และโครงสร้างอื่น ๆ ที่สนับสนุนการพัฒนาเมืองและการเกษตร -
Period: 3000 BCE to
ชลประทาน
การพัฒนาเทคโนโลยีการชลประทานเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การเกษตรในเมโสโปเตเมียเจริญรุ่งเรือง ระบบชลประทานรวมถึงการสร้างคูน้ำ (canals) และคันดิน (dikes) ที่ช่วยควบคุมการไหลของน้ำจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสไปยังพื้นที่เกษตร
การสร้างระบบชลประทานช่วยให้พื้นที่ที่แห้งแล้งและน้ำท่วมเฉพาะช่วงสามารถใช้เป็นพื้นที่เกษตรได้ตลอดทั้งปี -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
ทาส
การใช้ทาส: ทาสในเมโสโปเตเมียมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมเศรษฐกิจและการก่อสร้าง พวกเขาถูกใช้ทำงานในฟาร์มและในบ้านของชนชั้นสูง -
Period: 3000 BCE to 500 BCE
การทำงานฝีมือ
ผู้ค้าและช่างฝีมือ: เมืองใหญ่ในเมโสโปเตเมียมีการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิต มีช่างฝีมือ เช่น ช่างทำเครื่องปั้นดินเผา ช่างเหล็ก และช่างทอง ซึ่งทำงานในพื้นที่เมือง
งานบริการและการบริหาร: แรงงานยังมีบทบาทในการให้บริการต่าง ๆ และในด้านการบริหารจัดการของรัฐและเมือง -
2700 BCE
การก่อสร้างพีระมิด
การก่อสร้างพีระมิดในช่วงนี้ใช้แรงงานจำนวนมากและเทคนิคการก่อสร้างที่มีความซับซ้อน พีระมิดถูกสร้างจากหินปูนและหินกรวดที่ถูกตัดและขนส่งจากแหล่งหินที่อยู่ห่างออกไป
การก่อสร้างพีระมิดต้องการการวางแผนและการจัดการที่มีความละเอียด เช่น การสร้างทางลาด (ramps) เพื่อเคลื่อนย้ายหินไปยังที่สูง -
2700 BCE
วิศวกรรมและเทคโนโลยี
การก่อสร้างพีระมิดขั้นบันไดใช้เทคโนโลยีการขนส่งและการจัดวางหินบล็อกที่ซับซ้อนมาก โดยเชื่อกันว่ามีการใช้ไม้ลื่นและระบบรางในการขนส่งหินบล็อกจากแหล่งหินไปยังสถานที่ก่อสร้าง -
2700 BCE
สถาปัตยกรรม
พีระมิดขั้นบันไดมีความสูงประมาณ 62 เมตร (203 ฟุต) และมีขนาดฐานกว้างประมาณ 125 เมตร (410 ฟุต) การสร้างพีระมิดนี้เป็นการพัฒนาความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของชาวอียิปต์โบราณอย่างมีนัยสำคัญ -
2700 BCE
การออกแบบและก่อสร้าง
การออกแบบพีระมิดขั้นบันไดเป็นการพัฒนาจากหลุมฝังศพแบบทรงสี่เหลี่ยม (mastaba) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้กันมาก่อนหน้านั้น โครงสร้างนี้มีลักษณะเป็นขั้นบันไดที่ซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งมีการวางหินบล็อกขนาดใหญ่เพื่อสร้างลักษณะนี้ -
2700 BCE
อารยธรรมอียิปต์
ประมาณ 2700 ปีก่อนคริสต์ศักราช การสร้างพีระมิดในอียิปต์เริ่มขึ้นในช่วงของการปกครองของฟาโรห์สเนเฟรู (Sneferu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พีระมิดเริ่มมีความก้าวหน้าและพัฒนาอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ รายละเอียดของการสร้างพีระมิดในช่วงนี้มีดังนี้ -
Period: 2700 BCE to 500 BCE
สถาปัตยกรรม
พีระมิดขั้นบันไดมีความสูงประมาณ 62 เมตร (203 ฟุต) และมีขนาดฐานกว้างประมาณ 125 เมตร (410 ฟุต) การสร้างพีระมิดนี้เป็นการพัฒนาความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของชาวอียิปต์โบราณอย่างมีนัยสำคัญ -
Period: 2700 BCE to 30 BCE
การก่อสร้างพีระมิด
การก่อสร้างพีระมิดในช่วงนี้ใช้แรงงานจำนวนมากและเทคนิคการก่อสร้างที่มีความซับซ้อน พีระมิดถูกสร้างจากหินปูนและหินกรวดที่ถูกตัดและขนส่งจากแหล่งหินที่อยู่ห่างออกไป
การก่อสร้างพีระมิดต้องการการวางแผนและการจัดการที่มีความละเอียด เช่น การสร้างทางลาด (ramps) เพื่อเคลื่อนย้ายหินไปยังที่สูง -
Period: 2700 BCE to 30 BCE
อารยธรรมอียิปต์
ประมาณ 2700 ปีก่อนคริสต์ศักราช การสร้างพีระมิดในอียิปต์เริ่มขึ้นในช่วงของการปกครองของฟาโรห์สเนเฟรู (Sneferu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พีระมิดเริ่มมีความก้าวหน้าและพัฒนาอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ รายละเอียดของการสร้างพีระมิดในช่วงนี้มีดังนี้ -
Period: 2700 BCE to 500 BCE
การออกแบบและก่อสร้าง
การออกแบบพีระมิดขั้นบันไดเป็นการพัฒนาจากหลุมฝังศพแบบทรงสี่เหลี่ยม (mastaba) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้กันมาก่อนหน้านั้น โครงสร้างนี้มีลักษณะเป็นขั้นบันไดที่ซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งมีการวางหินบล็อกขนาดใหญ่เพื่อสร้างลักษณะนี้ -
Period: 2700 BCE to 500 BCE
วิศวกรรมและเทคโนโลยี
การก่อสร้างพีระมิดขั้นบันไดใช้เทคโนโลยีการขนส่งและการจัดวางหินบล็อกที่ซับซ้อนมาก โดยเชื่อกันว่ามีการใช้ไม้ลื่นและระบบรางในการขนส่งหินบล็อกจากแหล่งหินไปยังสถานที่ก่อสร้าง -
Period: 2640 BCE to 2670 BCE
ผู้ก่อตั้งอียิปต์
ฟาโรห์เมนส (Menes): หรือที่เรียกว่าฟาโรห์นาร์เมอร์ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการรวมแคว้น และแคว้นล่าง เข้าเป็นอาณาจักรเดียว ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปกครองในรูปแบบของอียิปต์โบราณประมาณ 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช ฟาโรห์เจเซอร์ (Djoser): ปกครองในสมัยราชวงศ์ที่ 3 (ประมาณ 2670–2640 ปีก่อนคริสต์ศักราช) -
2600 BCE
ระบบการค้าและเศรษฐกิจ
อารยธรรมแม่น้ำสินธุมีการค้าขายกับอารยธรรมอื่นๆ เช่น เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) การค้าสินค้าต่างๆ เช่น หินลาวา, เครื่องประดับ, และสินค้าประมง. -
2600 BCE
การพัฒนาเทคโนโลยี
มีการใช้เทคนิคการหลอมโลหะเพื่อสร้างเครื่องมือและอาวุธ มีการพัฒนาหม้อ, ขวด, และเครื่องใช้ในบ้าน. -
2600 BCE
พีระมิด
ฟาโรห์สเนเฟรูเริ่มโครงการก่อสร้างพีระมิดที่ Bent Pyramid ที่ไซต์แดห์ชูร์ (Dahshur) เป็นพีระมิดที่มีความเอนเอียงโดยเริ่มสร้างในลักษณะเป็นพีระมิดแบบขั้นบันได แต่มีการเปลี่ยนแปลงความเอียงของด้านให้เป็นพีระมิดที่มีความเอียงน้อยกว่าในภายหลัง
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นผลจากปัญหาทางวิศวกรรมที่พบระหว่างการก่อสร้าง -
2600 BCE
ข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับอารยธรรมแม่น้ำสินธุ
อารยธรรมแม่น้ำสินธุ หรือ อารยธรรมฮารัปปา (Indus Valley Civilization) ไม่ได้มี "ผู้สร้าง" หรือบุคคลเฉพาะที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนเหมือนในบางอารยธรรมโบราณอื่น ๆ เช่น อียิปต์หรือเมโสโปเตเมีย อารยธรรมนี้เป็นผลมาจากการพัฒนาของสังคมที่มีการร่วมมือกันจากกลุ่มคนในพื้นที่ลุ่มน้ำสินธุ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ปัจจุบันของปากีสถานและตอนเหนือของอินเดีย -
2600 BCE
พีระมิดแดง
หลังจากการสร้างพีระมิดที่ Bent Pyramid ฟาโรห์สเนเฟรูได้เริ่มสร้างพีระมิดที่แดง (Red Pyramid) ที่แดห์ชูร์ ซึ่งถือเป็นพีระมิดที่ประสบความสำเร็จในด้านการออกแบบและการก่อสร้าง
พีระมิดที่แดงเป็นพีระมิดที่มีลักษณะเป็นพีระมิดสมบูรณ์แบบ มีความสูงประมาณ 104 เมตร (341 ฟุต) และใช้หินปูนสีแดงในการก่อสร้าง -
Period: 2600 BCE to
การพัฒนาเทคโนโลยี
มีการใช้เทคนิคการหลอมโลหะเพื่อสร้างเครื่องมือและอาวุธ มีการพัฒนาหม้อ, ขวด, และเครื่องใช้ในบ้าน. -
Period: 2600 BCE to
ระบบการค้าและเศรษฐกิจ
อารยธรรมแม่น้ำสินธุมีการค้าขายกับอารยธรรมอื่นๆ เช่น เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) การค้าสินค้าต่างๆ เช่น หินลาวา, เครื่องประดับ, และสินค้าประมง. -
Period: 2600 BCE to 500 BCE
พีระมิดแดง
หลังจากการสร้างพีระมิดที่ Bent Pyramid ฟาโรห์สเนเฟรูได้เริ่มสร้างพีระมิดที่แดง (Red Pyramid) ที่แดห์ชูร์ ซึ่งถือเป็นพีระมิดที่ประสบความสำเร็จในด้านการออกแบบและการก่อสร้าง
พีระมิดที่แดงเป็นพีระมิดที่มีลักษณะเป็นพีระมิดสมบูรณ์แบบ มีความสูงประมาณ 104 เมตร (341 ฟุต) และใช้หินปูนสีแดงในการก่อสร้าง -
Period: 2600 BCE to 500 BCE
พีระมิด
ฟาโรห์สเนเฟรูเริ่มโครงการก่อสร้างพีระมิดที่ Bent Pyramid ที่ไซต์แดห์ชูร์ (Dahshur) เป็นพีระมิดที่มีความเอนเอียงโดยเริ่มสร้างในลักษณะเป็นพีระมิดแบบขั้นบันได แต่มีการเปลี่ยนแปลงความเอียงของด้านให้เป็นพีระมิดที่มีความเอียงน้อยกว่าในภายหลัง
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นผลจากปัญหาทางวิศวกรรมที่พบระหว่างการก่อสร้าง -
Period: 2600 BCE to 2024 BCE
ลักษณะสำคัญของอารยธรรมแม่น้ำสินธุ
อารยธรรมแม่น้ำสินธุเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่พัฒนาขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนและเจริญรุ่งเรือง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการโจมตีของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ส่งผลให้อารยธรรมนี้เริ่มเสื่อมโทรมประมาณปี 1500 ปีก่อนคริสต์ -
2500 BCE
ภาษี
รัฐบาลมีบทบาทในการจัดการเศรษฐกิจ การเก็บภาษีจากการผลิตและการค้าช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ
การจัดการทรัพยากรและการบังคับใช้กฎหมายการค้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ -
2500 BCE
อารยธรรมลุ่มน้ำอินดัส
ประมาณ 2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช (หรือประมาณปี 2500-1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเริ่มต้นของอารยธรรมลุ่มน้ำอินเดีย ซึ่งเรียกว่า อารยธรรมแม่น้ำสินธุ (Indus Valley Civilization) หรือ อารยธรรมฮารัปปา (Harappan Civilization) ตามชื่อเมืองหลักสองแห่งคือ ฮารัปปา และ โมเฮนโจ-ดาโร (Mohenjo-Daro) ที่พบในพื้นที่ปัจจุบันของปากีสถานและตอนเหนือของอินเดีย -
Period: 2500 BCE to 2024 BCE
อารยธรรมลุ่มน้ำอินดัส
ประมาณ 2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช (หรือประมาณปี 2500-1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเริ่มต้นของอารยธรรมลุ่มน้ำอินเดีย ซึ่งเรียกว่า อารยธรรมแม่น้ำสินธุ (Indus Valley Civilization) หรือ อารยธรรมฮารัปปา (Harappan Civilization) ตามชื่อเมืองหลักสองแห่งคือ ฮารัปปา และ โมเฮนโจ-ดาโร (Mohenjo-Daro) ที่พบในพื้นที่ปัจจุบันของปากีสถานและตอนเหนือของอินเดีย -
2334 BCE
กษัตริย์ซาร์กอนแห่งอักคาด
ซาร์กอนแห่งอักคาด (ประมาณ 2334–2279 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นกษัตริย์ที่สำคัญในช่วงการรวมอาณาจักร การก่อตั้งจักรวรรดิอักคาด (Akkadian Empire) ซึ่งเป็นการรวมพื้นที่หลายแห่งในเมโสโปเตเมียและสร้างอาณาจักรที่มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง -
Period: 2279 BCE to 2334 BCE
กษัตริย์ซาร์กอนแห่งอักคาด
ซาร์กอนแห่งอักคาด (ประมาณ 2334–2279 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นกษัตริย์ที่สำคัญในช่วงการรวมอาณาจักร การก่อตั้งจักรวรรดิอักคาด (Akkadian Empire) ซึ่งเป็นการรวมพื้นที่หลายแห่งในเมโสโปเตเมียและสร้างอาณาจักรที่มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง -
2100 BCE
การปกครอง
การปกครองและกฎหมาย: เมโสโปเตเมียมีการพัฒนาระบบการปกครองและกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น รหัสฮัมมูราบี (Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีการบันทึกไว้ -
Period: 2100 BCE to 500 BCE
การปกครอง
การปกครองและกฎหมาย: เมโสโปเตเมียมีการพัฒนาระบบการปกครองและกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น รหัสฮัมมูราบี (Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีการบันทึกไว้ -
1921 BCE
ข้อสันนิษฐานทางโบราณคดี
นักโบราณคดีและนักวิจัยได้ค้นพบหลักฐานการพัฒนาเมืองและวัฒนธรรมที่แสดงถึงการทำงานร่วมกันในระดับสูง แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลหรือผู้นำที่เป็นผู้ก่อตั้งอารยธรรมนี้ -
Period: 1921 BCE to 500 BCE
ข้อสันนิษฐานทางโบราณคดี
นักโบราณคดีและนักวิจัยได้ค้นพบหลักฐานการพัฒนาเมืองและวัฒนธรรมที่แสดงถึงการทำงานร่วมกันในระดับสูง แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลหรือผู้นำที่เป็นผู้ก่อตั้งอารยธรรมนี้ -
1810 BCE
กษัตริย์ฮัมมูราบี
ฮัมมูราบีเกิดประมาณปี 1810 ก่อนคริสต์ศักราช (ปีก่อนคริสต์) และสิ้นสุดอายุประมาณปี 1750 ก่อนคริสต์ศักราช โดยเขาเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในการจัดทำกฎหมายฮัมมูราบีที่เป็นหนึ่งในรหัสกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก -
Period: 1810 BCE to 1750 BCE
กษัตริย์ฮัมมูราบี
ฮัมมูราบีเกิดประมาณปี 1810 ก่อนคริสต์ศักราช (ปีก่อนคริสต์) และสิ้นสุดอายุประมาณปี 1750 ก่อนคริสต์ศักราช โดยเขาเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในการจัดทำกฎหมายฮัมมูราบีที่เป็นหนึ่งในรหัสกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก -
1600 BCE
สถาปัตยกรรมและเมือง
สถาปัตยกรรมของอารยธรรมไมซีนีมีลักษณะโดดเด่นด้วยพระราชวังที่มีกำแพงหินขนาดใหญ่ เช่น กำแพง "Cyclopean" ที่สร้างจากก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองไมซีนี -
Period: 1600 BCE to
สถาปัตยกรรมและเมือง
สถาปัตยกรรมของอารยธรรมไมซีนีมีลักษณะโดดเด่นด้วยพระราชวังที่มีกำแพงหินขนาดใหญ่ เช่น กำแพง "Cyclopean" ที่สร้างจากก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองไมซีนี -
1500 BCE
การวางแผน
เมืองต่างๆ ในอารยธรรมนี้มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ มีระบบท่อระบายน้ำที่พัฒนา รวมถึงถนนที่ตัดกันเป็นตาราง ทำให้แสดงถึงความเป็นระเบียบและความเข้าใจในด้านวิศวกรรม. -
1500 BCE
ลักษณะสำคัญของอารยธรรมแม่น้ำสินธุ
อารยธรรมแม่น้ำสินธุเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่พัฒนาขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนและเจริญรุ่งเรือง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการโจมตีของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ส่งผลให้อารยธรรมนี้เริ่มเสื่อมโทรมประมาณปี 1500 ปีก่อนคริสต์ -
Period: 1500 BCE to
การวางแผน
เมืองต่างๆ ในอารยธรรมนี้มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ มีระบบท่อระบายน้ำที่พัฒนา รวมถึงถนนที่ตัดกันเป็นตาราง ทำให้แสดงถึงความเป็นระเบียบและความเข้าใจในด้านวิศวกรรม. -
1351 BCE
การสิ้นสุด
แม้ว่าโรคจะลดลงในปี 1351 แต่กาฬโรคยังคง ระบาดเป็นระยะ ๆ ในยุโรปจนถึงศตวรรษที่ 17 -
Period: 1351 BCE to 1700 BCE
การสิ้นสุด
แม้ว่าโรคจะลดลงในปี 1351 แต่กาฬโรคยังคง ระบาดเป็นระยะ ๆ ในยุโรปจนถึงศตวรรษที่ 17 -
1347 BCE
การตอบสนอง
หลายเมืองได้มีการตั้งกฎระเบียบเพื่อควบคุม การแพร่กระจาย เช่น การปิดเมืองและการกักกันประชาชน -
1347 BCE
การแพร่ระบาดของโรคกาฬโรคในยุโรป
การแพร่ระบาดของโรคกาฬโรคในยุโรประหว่าง ค.ศ. 1347-1351 ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis ซึ่งถูกแพร่กระจายผ่านเห็บและหนู การระบาดเริ่มต้นจากเอเชียกลางก่อนจะเข้าสู่ยุโรปผ่านเส้นทางการค้า -
1347 BCE
จุดเริ่มต้นของการเกิดโรค
การระบาดเริ่มขึ้นในปี 1347 เมื่อกองเรือจากอิตาลีกลับจากการค้ากับตะวันออกและนำเชื้อโรคเข้ามาในเมืองเมซีนา (Messina) ประเทศอิตาลี -
1347 BCE
การแพร่กระจาย
โรคกาฬโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังเมืองต่าง ๆ ในยุโรป เช่น เจนัว เวนิส ปารีส และลอนดอน โดยในเวลาสั้น ๆ มันได้คร่าชีวิตประชากรประมาณ 25-30% ของยุโรป -
1347 BCE
อาการของโรค
อาการเริ่มต้นรวมถึงไข้สูง อ่อนเพลีย ต่อมน้ำ เหลืองบวม และมีจุดสีดำบนผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการแพร่ กระจายของเชื้อในร่างกาย -
1347 BCE
ผลกระทบทางสังคม
การแพร่ระบาดนี้ส่งผลกระทบอย่าง รุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคม ทำให้เกิดความกลัวและความ วิตกกังวลในประชาชน ลงโทษของพระเจ้า หลายคนเชื่อว่าการระบาดเกิดจาก -
Period: 1347 BCE to 1351 BCE
ผลกระทบทางสังคม
การแพร่ระบาดนี้ส่งผลกระทบอย่าง รุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคม ทำให้เกิดความกลัวและความ วิตกกังวลในประชาชน ลงโทษของพระเจ้า หลายคนเชื่อว่าการระบาดเกิดจาก -
Period: 1347 BCE to 1351 BCE
การแพร่กระจาย
โรคกาฬโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังเมืองต่าง ๆ ในยุโรป เช่น เจนัว เวนิส ปารีส และลอนดอน โดยในเวลาสั้น ๆ มันได้คร่าชีวิตประชากรประมาณ 25-30% ของยุโรป -
Period: 1347 BCE to 1351 BCE
อาการของโรค
อาการเริ่มต้นรวมถึงไข้สูง อ่อนเพลีย ต่อมน้ำ เหลืองบวม และมีจุดสีดำบนผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการแพร่ กระจายของเชื้อในร่างกาย -
Period: 1347 BCE to 1351 BCE
การตอบสนอง
หลายเมืองได้มีการตั้งกฎระเบียบเพื่อควบคุม การแพร่กระจาย เช่น การปิดเมืองและการกักกันประชาชน -
1200 BCE
การล่มสลาย
อารยธรรมไมซีนีเริ่มเสื่อมโทรมลงประมาณ 1200 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีสาเหตุจากความไม่สงบทางการเมือง การโจมตีของชนเผ่าต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้เกิดการล่มสลายและช่วงเวลาที่รู้จักในชื่อ "ยุคมืด" (Dark Ages) ในกรีซ -
Period: 300 BCE to
เศรษฐกิจและการค้าขาย
การเกษตรที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาชุมชนเมืองและการค้าขาย
ข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลีถูกนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายในตลาดภายในและภายนอกอาณาจักร